“See Angkor Wat and die” เคยได้ยินหรือกันมาบ้างไหมครับ มันแปลว่าอะไรล่ะ?

เห็นนครวัดแล้วก็ตายงี้หรอ? คำสาปรึเปล่า?

ผิดแล้ว!! ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไปทำไมเล่า?

วลีนี้กล่าวโดย Arnold Joseph Toynbee ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอื้อนเอ่ยเพื่อพรรณาถึงความงามของเมืองพระนครแห่งนี้ ชนิดที่ว่า “ก่อนตาย ขอได้ยลนครวัด” หรือ ชีวิตนี้ได้เห็นนครวัดแล้วตายได้นั่นแหละครับ

แล้วความสวยงามที่ว่ามันขนาดไหนกันนะ ตัวผมเองก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตามานานแล้ว ประจวบเหมาะกับมีช่วงหยุดวันแม่ และคุณแม่ก็อยากไปพอดี เมื่อทุกอย่างลงตัว ก็จัดทริป พาคุณแม่ไปเที่ยวซะเลย

ขอเท้าความอดีตสักเล็กน้อยนะครับ ถึงแม้ว่านครวัด รวมถึงนครธม อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย ไม่ใช่เมืองหนาวอย่างที่หลายคนฝันถึง แต่สำหรับผมเอง นี่คือทริปในฝันทริปหนึ่งเลยทีเดียว แรงบันดาลใจก็ได้มาจากหนังสือที่คุณแม่ซื้อให้อ่านเมื่อตอนเด็กเล่มนี้ ที่เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้อ่านเช่นกัน “ความเร้นลับในอดีต” ตอนนั้นแค่เห็นรูปวาด “รอยยิ้มปริศนาแห่งบายน” แล้วผมก็คิดว่า จะต้องไปเห็นใบหน้านี้ให้ได้ด้วยตาตัวเองเลยทีเดียวครับ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไป นครวัด และนครธม

  • อยู่ในเมือง เสียมราฐ (เสียมเรียบ) ในประเทศกัมพูชา ไม่ใช่เมืองหลวงพนมเปญ อย่าจองผิดนะคร้าบ
  • ฝุ่นเยอะมากๆ ควรพกหน้ากากกันฝุ่นไปด้วย
  • แดดจัด ควรพกร่ม หมวก และครีมกันแดดไปด้วย
  • สามารถใช้เงินได้ทั้งสกุลของ กัมพูชา (เรียล), ไทย (บาท), ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) โดยการใช้เงิน USD จะได้เรทที่ดีที่สุด
  • ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์เท่าประเทศไทย แต่เต้าเสียบเป็นแบบ 2 ขาซะเป็นส่วนใหญ่ หากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ 3 ขาต้องเอาตัวแปลงมาด้วย
  • ประชาชน โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยว มักพูดภาษาอังกฤษได้
  • สามารถเดินทางจากประเทศไทยได้ทั้งทางรถ และเครื่องบิน
  • สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทย ไม่ต้องขอ VISA
  • สภาพอากาศ

เห็นได้ว่า ช่วงที่เหมาะสมกับการเดินเที่ยวคือช่วง ธันวาคม – มกราคม ซึ่งสภาพอากาศกำลังเย็นสบาย แต่อย่าลืมว่า คนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการเที่ยวช่วงนี้ต้องเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมหาศาลแน่ๆ และการถ่ายรูปให้ไม่มีคนก็จะยากขึ้นไปอีก
ในครั้งนี้ จขกท เลือกไปเดือนสิงหาคมช่วงหน้าฝน ถือเป็นช่วง shoulder season แม้อาจจะเสี่ยงกับฝน แต่ก็พอได้ความชุ่มชื้น และนักท่องเที่ยวไม่มากมายอย่าง high season

การเดินทางด้วยเครื่องบิน
การเดินทางด้วยเครื่องบิน มีทั้งสายการบิน Air Asia (บินจากดอนเมือง) และ Bangkok Airways (บินจากสุวรรณภูมิ) ซึ่งก็มีราคาโปรโมชั่นดีๆ เช่นกัน แต่เนื่องจาก จขกท เป็นคนต่างจังหวัด ต้องนั่งเครื่องเข้ากรุงที่ท่าอากาศยานดอนเมืองอยู่แล้ว และไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก จึงเลือก Air Asia ครับ
โดยเราได้ออกเดินทางจากดอนเมือง เข้าพักที่โรงแรม นอนเอาแรง 1 คืน เพื่อเที่ยวให้เต็มที่ในวันรุ่งขึ้น

สำหรับโปรแกรมการเที่ยวของเราก็เป็นดังนี้ครับ

Day 1

  • ปราสาทตาพรหม (ปราสาทที่มีต้นสะปงขนาดใหญ่เลื้อยทับบนตัวปราสาท ที่เป็นฉากดังจากภาพยนต์ Tomb Raider)
  • นครธม โดยเราจะเก็บทั้ง ประตูทิศใต้ และปราสาทบายนในช่วงเช้า และต่อด้วย ปราสาทบาปวน เขตพระราชวังหลวง ปราสาทพิมานอากาศ ลานพระเจ้าขี้เรื้อน และเมืองบาดาล (นรกภูมิ) ในช่วงบ่าย
  • ชมอาทิตย์อัสดงที่ปราสาทบาแค็ง

*ถึงตรงนี้หลายท่านอาจแปลกใจว่าทำไมผมจัดแผนแปลกๆ ทำไมถึงไม่เที่ยวนครธมให้เสร็จไปในช่วงเช้าไปเลย ไว้จะมีเฉลยนะครับ

Day 2

  • ชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าที่ปราสาทนครวัด
  • ออกนอกเมืองไปชมป้อมแห่งสตรี “บอนเตียสะเรย”
  • กลับมาชมความยิ่งใหญ่ของนครวัดในช่วงบ่าย

*เอาอีกแล้ว ทำไมต้องไปๆมาๆเนี่ย อ่านต่อไปก่อนนะครับ มีเฉลยแน่นอน

Day 3

  • วันที่ 3 เป็นแผนสำรองเอาไว้เผื่อการชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดในวันที่ 2 จะมีปัญหาจากสภาพอากาศ
  • เดินทางกลับภูมิลำเนา

จากท่าอากาศยานดอนเมือง สู่ท่าอากาศยานเสียมเรียบ (Siem Reap) ใช้เวลาบินเพียงแค่ประมาน 50 นาที เท่านั้น เรียกว่า ตดยังไม่ทันหายเหม็น ก็ถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว

เมื่อถึงที่หมายแล้ว สิ่งที่เราจะขาดไม่ได้เลยก็คือ ปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์เรา… โทรศัพท์นั่นเอง พอเดินออกจากตัวอาคารผู้โดยสาร ก็จะพบกับร้านขาย sim card หลายร้าน มีโปรโมชั่นแตกต่างกัน ซึ่งจากข้อมูลที่หามาล่วงหน้า และคำแนะนำจากเสม็ด โชเฟอร์ขับรถตุ๊กๆจากโรงแรม จขกท ก็ตกลงซื้อ sim card ของเครื่อข่าย SMART ด้วยราคา ประมาน 240 บาท เล่นเน็ตได้ 20 GB

เมื่อถึงโรงแรมแล้ว เราก็นัดหมายกับเสม็ด เรื่องเวลามารับเราเพื่อไปปราสาทหินต่างๆในวันรุ่งขึ้นเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา โดยได้ราคา 20 USD/วัน พร้อมน้ำดื่มตลอดเส้นทาง

ในส่วนนี้ สำหรับใครที่พักโรงแรมในตัวเมือง จะมีตุ๊กๆเต็มไปหมด สามารถต่อรองเองได้เลยนะครับ ส่วนโรงแรมที่ จขกท พัก อยู่ค่อนข้างนอกเมืองออกมา ไม่ค่อยมีตุ๊กๆมาจอดรอ และไม่อยากเสียเวลาไปหาในเมืองแล้วเพราะมีเวลาน้อย จึงนัดหมายไว้เลย

Day 1

จุดที่เราจะไปเที่ยวก็คือที่ดาวไว้นะครับ ดูออกจะงงๆหน่อย คือเลยไปปราสาทตาพรหมก่อน แล้วค่อยย้อนมานครธม แล้วก็ย้อนไปบาแค็งอีก

6.30 น. หลังทานอาหารเช้าโรงแรมเสร็จ เสม็ดก็มารับเราตามเวลานัดหมาย และนำเราไปซื้อ Angkor pass ที่ถนน Charles De Gaulle
Angkor pass คืออะไร? มันก็คือตั๋วเข้าชมปราสาทต่างๆในเมืองเสียมเรียบ สามารถเข้าชมได้เกือบทุกแห่ง จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม สำหรับประเภทของตั๋วและราคาปี 2018 ก็ตามนี้ครับ

  • 1 วัน ราคา 37 USD
  • 3 วัน ราคา 62 USD
  • 7 วัน ราคา 72 USD

เราไม่สามารถซื้อตั๋ว Angkor pass ล่วงหน้าได้นะครับ เนื่องจากการขายตั๋วจำเป็นต้องการถ่ายรูปผู้ซื้อเพื่อติดบนตั๋วด้วย ในทริปนี้ จขกท เลือกซื้อตั๋วแบบ 3 วันด้วยราคา 62 USD ครับ ส่วนเวลาเปิดปิดของ ticket center คือ 5.00 – 17.30 น.

เมื่อได้ตั๋วแล้ว เราก็ต้องมาผ่านจุดตรวจตั๋วซึ่งอยู่บนถนน Charles De Gaulle เช่นกัน เรียกได้ว่า ใครจะไปเที่ยวชมปราสาท ยังไงก็ต้องผ่านถนนเส้นนี้แน่นอน สำหรับถนนหลายๆจุดก็เป็นไปตามที่เกริ่นไว้ครับ ฝุ่นเยอะมาก หลุมและบ่อเยอะด้วย เมื่อพนักงานตรวจตั๋วแล้ว ก็จะทำการเจาะรูบนตั๋ว เพื่อนับวัน เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าต่อกันเลย

ปราสาทตาพรหม (คนท้องถิ่นจะออกเสียงประมาณว่า ตาปรุมๆ)

ใช้เวลาเดินเที่ยวประมาน 2 ชั่วโมง

ระหว่างทางเดินเข้าสู่ตัวปราสาท ทางขวามือเราจะพบกับธรรมศาลา เชื่อว่าสร้างเพื่อเป็นที่พักของคนเดินทางครับ

เดินผ่านธรรมศาลามาไม่นาน ก็ถึงแล้วครับหนึ่งในปราสาทชื่อดังที่เป็นไฮไลท์ของเสียมเรียบ ปราสาทตาพรหมนั่นเอง ชื่อตาพรหมนี้ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมของปราสาทนะครับ แต่เป็นการเรียกชื่อตามเรื่องเล่าต่อกันมาว่า มีชายสูงอายุคนหนึ่งชื่อพรหม ที่มากวาดปราสาทนี้ด้วยจิตอาสาทุกวันเป็นเวลาช้านาน จึงมีการเรียกชื่อปราสาทตามชื่อของชายผู้นั้นว่า ตาพรหม

แน่นอนว่า แทบทุกคนที่มาเยือนปราสาทแห่งนี้มีจุดหมายที่เดียวกัน นั่นคือ รากต้นสะปง ที่เลื้อยทับตัวปราสาท ซึ่งเป็นฉากของภาพยนต์ชื่อดังอย่าง Tomb Raider

เมื่อเดินผ่านตัวปราสาทเข้ามาแล้วมองไปทางซ้ายมือ ก็จะพบแล้วครับ รากต้นสะปงที่เลื้อยผ่านปราสาทอย่างอ่อนช้อยราวสายน้ำไหล ภาพสิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์เมื่อครั้งโบราณกาล ถูกแต่งเติมด้วยธรรมชาติช่างงดงามนี้ช่างดูเข้มขลังนัก ต้นสะปงนี้ ในภาษาไทยเรียกว่าต้นฟองน้ำนะครับ เป็นไม้ที่มีรูพรุน มีน้ำหนักเบา

ปราสาทตาพรหมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์นักรบและมหาราชองค์สุดท้ายแห่งขอมโบราณ หลังจากพระองค์ทำสงครามชนะพวกจามแล้วจึงได้เกณฑ์คนมาสร้างปราสาทหลายหลัง รวมถึงปราสาทตาพรหมหลังนี้

ที่ปราสาทตาพรหมยังมีอีกหลายจุดที่กำลังทำการบูรณะ และยังไม่ได้บูรณะนะครับ บางครั้งก็จะเห็นกองหินกองอยู่ไม่ถูกเก็บให้เข้าที่ ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลในการบูรณะครับ หากเก็บหินไปกองรวมกันแล้วจะเป็นงานยากที่จะนำหินให้กลับตำแหน่งเดิมก่อนพังลงมาได้ และด้วยความที่กองหินยังระเกะระกะนี้เอง ทำให้ปราสาทยังคงดูขลัง และลึกลับ

ร่องรอยของการสลักส่วนใหญ่สึกหรอไปตามกาลเวลา เช่นภาพสลักทับหลังที่รูปด้านล่าง นอกจากนี้ เนื่องจากปราสาทตาพรหมเป็นปราสาทที่ถูกสร้างในยุคหลังๆแล้ว หินคุณภาพดีจากพนมกุเลนหายากมากขึ้น หินจึงอาจไม่สวยเท่ากับปราสาทอื่น แต่หินสภาพเก่าๆแบบนี้กลับให้ความรู้สึกโบราณและน่าค้นหามากไปอีก

รากต้นสะปงมีอีกหลายที่ในบริเวณปราสาท จึงมีจุดให้ถ่ายรุปอีกมากมาย มาเที่ยวแล้วไม่ต้องกลัวไม่ได้รูปเดี่ยวที่ไม่ติดคนเลยครับ อีกข้อดีของการมาเที่ยวฤดูฝน ก็คือความชื้นที่สูง ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นตัวปราสาทที่ถูกแต่งแต้มสีเขียวนี่ ดังเช่นปราสาทที่มีต้นไม้เยอะอย่างปราสาทตาพรหมนี่แหละครับ

หลังจากชมทัศนียภาพที่ปราสาทตาพรหมอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลา 2 ชั่วโมงตามกำหนดแล้ว เราก็เดินออกจากตัวปราสาททางทิศตะวันตกที่ได้นัดหมายกับเสม็ดไว้ ส่วนภาพด้านล่างก็คือประตูทางออกของปราสาทตาพรหมซึ่งเราก็จะเริ่มได้เห็นใบหน้าแบบบายนกันที่นี่ ก่อนที่จะไปตามหาใบหน้าปริศนาที่นครธมกันต่อไปครับ

นครธม

เมืองพระนครหลวง หรือชื่อที่เรารู้จักกันดี “นครธม”

ใช้เวลาเดินเที่ยวชม ประมาน 4 ชั่วโมง (รวมประตูทิศใต้ ปราสาทบายน ปราสาทบาปวน และเขตพระราชวังหลวง)

ประตูทิศใต้เมืองนครธม

จุดแรกที่ควรเริ่มชมคือประตูทางทิศใต้ ถือเป็นจุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด เพราะเราจะได้เห็นทางเข้าที่สื่อถึงพิธีกวนเกษียรสมุทร (Milk sea) โดยทางด้านซ้ายมือเป็นฝั่งของเทวดาที่ดูหน้าตาดี ช่วยกันดึงตัวพญานาควาสุกรีเพื่อกวนน้ำอมฤต ส่วนทางด้านขวามือที่หน้าตาอัปลักษณ์หมายถึงอสูรนั่นเอง

พญานาควาสุกรี

ฝั่งเทวดาหน้าตาดูดี

ฝั่งอสูรหน้าตาอัปลักษณ์

พิธีกวนเกษียรสมุทร คือพิธีกวนน้ำอมฤตของเทวดาและอสูร สืบเนื่องมาจากมีฤาษีตนหนึ่งชื่อ ทุรวาส ได้นำพวงมาลาทิพย์ไปถวายพระอินทร์ แต่บังเอิญช้างเอราวัณสามเศียรไม่ชอบกลิ่นของดอกไม้นั้น จึงใช้งวงฟาดดอกไม้ลงบนพื้น แล้วเหยียบขยี้ ฤาษีทุรวาสเห็นดังนั้นก็โกรธมาก และสาปแช่งให้เทวดารบแพ้อสูรทุกครั้งไป

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อเทวดาก็รบแพ้อสูรอยู่ตลอด พระอินทร์เกิดความร้อนใจ จึงทูลขอให้พระศิวะช่วย พระศิวะให้ไปทูลขอพระวิษณุ ซึ่งพระวิษณุก็เสนอให้ทำพิธีกวนน้ำอมฤต  แล้วนำมาให้เทวดามาแบ่งกันดื่ม จะได้มีร่างเป็นอมตะ โดยการกวนนั้นทำในทะเลน้ำนม ใช้เขามันทระเป็นไม้กวน และนำพญานาควาสุกรีมาเป็นเชือกพันเขามันทระ แต่เนื่องจากพิธีใหญ่มากถึงขนาดที่ว่าเทวดามาช่วยกันหมดสวรรค์ก็ยังไม่พอ เทวดาจึงออกอุบายหลอกให้อสูรมาช่วยกวนด้วย โดยหลอกว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้ดื่มด้วย นอกจากนี้ ยังให้เกียรติอสูรได้อยู่ทางหัวพญานาควาสุกรี ส่วนเทวดาจะอยู่ทางหาง

เมื่อพิธีดำเนินไป พญานาควาสุกรีที่ถูกเหวี่ยงก็เกิดอาการมึนหัว จึงพ่นพิษออกมา และเนื่องจากพวกอสูรอยู่ทางฝั่งหัวพญานาค จึงได้รับพิษนั้นไปเต็มๆ ทำให้อสูรมีหน้าตาอัปลักษณ์ ส่วนเทวดาได้น้ำอมฤตไปดื่มกัน นอกจากนี้พระวิษณุยังแปลงกายเป็นสาวงามหลอกล่อพวกอสูร มีเพียงแต่ราหูเท่านั้นที่ไม่สนใจ และแอบเข้าไปดื่มน้ำอมฤตด้วย

แต่พระจันทร์กับพระอาทิตย์จับได้จึงนำความไปทูลพระวิษณุ พระวิษณุเห็นดังนั้นจึงขว้างจักรไปตัดตัวราหู แต่เนื่องจากราหูดื่มน้ำอมฤตไปแล้วจึงไม่ตายแต่เหลือเพียงครึ่งท่อน ด้วยเหตุนี้ทำให้เมื่อราหูเห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ ก็จะจับมากินอยู่เรื่อยไป เป็นที่มาของปรากฏการ สุริยุปราคา และจันทรุปราคาตามตำนาน

เมื่อผ่านทางเดินพิธีกวนเกษียรสมุทรแล้ว ก็ถึงประตูทิศใต้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่า เราได้เข้าสู่ตัวเมืองนครธมแล้ว

Tips: *เมื่อเราลงเดินที่ทางเดินแล้ว ให้รถไปรอหลังประตูก็ดีนะครับ เพราะจากประตูไปสู่ปราสาทบายนนั้นก็เป็นระยะทางไกลอยู่

ปราสาทบายน ศูนย์กลางนครธม

ใช้เวลาเดินเที่ยวประมาน 2 ชั่วโมง

เช่นเดียวกับปราสาทตาพรหม เนื่องจากปราสาทนี้สร้างในยุคหลังๆ ทำให้เหลือหินคุณภาพดีไม่มากนัก หินจึงออกกระดำกระด่างอย่างที่เห็น แต่ลักษณะหินแบบนี้กลับให้ความรู้สึกลี้ลับอย่างบอกไม่ถูกครับ

เล่าเรื่องถึงปราสาทบายน สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นการจำลองเขาพระสุเมรุ แกนกลางของจักรวาล แตกต่างกับปราสาทอื่นๆที่ ปราสาทแห่งนี้เป็นพุทธสถานแต่เดิมมา (ปราสาทอื่นมักสร้างเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์) เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน บูชาพระรัตนตรัยมหายาน โดยแทนพระองค์เองเป็นอวตารของพระพุทธเจ้า ยกพระราชบิดาขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระราชมารดาเป็นพระนางปรัชญาปารมิตา มีพระอินทร์เป็นเทวดาผู้มีอำนาจสูงสุด
เมื่อมาถึงแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าสู่ตัวปราสาทนะครับ ที่ระเบียงคดของกำแพงชัดนอกมีของดีให้เราดู เราจะได้เห็นภาพสลักเล่าเรื่องถึงการเดินทัพที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งในสมัยพระองค์นั้นเขตแดนของราชอาณาจักรขอมแผ่ขยายไปยิ่งกว่าสมัยใดๆ

ภาพสลักทหารชาวจีนในกองทัพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นอกจากเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ช่างยังสลักหนวดเคราได้สวยงามอีกด้วยครับ

แหงนหน้ามองให้สูงขึ้นไป จะพบภาพสลักพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงม้า มีฉัตรรายล้อม อันเป็นสิ่งแสดงถึงความเป็นกษัตริย์

ภาพสลักไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเกรียงไกรของทหารในกองทัพเท่านั้นนะครับ จากจุดนี้ เราจะเห็นภาพวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้นมากมายเลย

ส่วนระเบียงคดทางทิศใต้นั้น เป็นรูปสลักการบกันทางน้ำที่ทะเลสาบ ระหว่างกองทัพขอมและกองทัพจาม นอกจากนี้ยังมีสภาพสลักสัตว์น้ำอีกด้วย

หลังเพลิดเพลินกับภาพสลักเรื่องราวในอดีตสมัยสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พอสมควรแล้ว เราก็ผ่านประตูเข้าสู่ตัวปราสาท

เนื่องจากปราสาทบายนมีขนาดใหญ่ และตรอกซอกซอยมากมาย จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รูปเดี่ยวแบบปลอดคน

เมื่อเดินขึ้นมาชั้นบนสุดก็จะถึงไฮไลต์ที่เราตามหาสักที “รอยยิ้มปริศนาแห่งบายน” นั่นเอง ขอบอกเลยว่า แค่ได้มาเห็นใบหน้านี้ก็หายร้อน หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว รอคอยมานานตั้งเท่าไรที่จะได้มาเห็นใบหน้านี้ด้วยตาของตัวเอง

ที่เรียกว่า ใบหน้าปริศนา หรือรอยยิ้มปริศนานั้น เพราะว่ายังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าใบหน้าที่หันไปทั้งสี่ 4 ทิศนี้ (บ้างว่า 5 ทิศรวมด้านบนด้วย แต่ปัจจุบันด้านบนได้พังลงหมดแล้ว) เป็นใบหน้าของผู้ใด หรือเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องใด บ้างก็ว่าเป็นพระพักตร์ของพระพรหม บ้างก็ว่าเป็นของพระโพธิสัตว์สมันตมุข (พระโพธิสัตว์ผู้ดูแลคุ้มครองไปทั่วทุกทิศ) หรืออาจะเป็นท้าวจตุโลกบาลผู้รักษาทิศทั้งสี่ หรืออาจเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างปราสาท

ความลึกลับของปริศนาที่ไร้คำตอบยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้ปราสาทบายนเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความที่ใบหน้าปริศนานี้มีอยู่ที่ซุ้มประตูถึง 50 กว่ายอด ทำให้ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน ก็จะถูกจับจ้องโดยใบหน้านี้เสมอ ส่วนในความเห็นส่วนตัวของ จขกท เอง ใบหน้าที่ยิ้มให้เราอยู่นี้ ไม่สามารถบอกได้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมีความหมายอย่างไร ยิ้มให้อย่างเมตตาหรือ แสยะยิ้มหรือ  รอยยิ้มนี้ให้อารมณ์ที่หลากหลายยากจะคาดเดา

เมื่อขึ้นมาที่ชั้น 3 แล้ว อีกจุดที่ไม่ควรพลาดคือ รูปสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรครับ ซึ่งเป็นหลักฐาน่สำคัญที่บ่งบอกว่าปราสาทบายนเป็นพุทธศาสนสถาน แต่อาจจะหายากสักหน่อยนะครับ ผมเองก็เห็นโดยบังเอิญ

ที่ปรางค์ประธาน เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป ยังคงมีการกราบไหว้กันอยู่ การเข้ามาในจุดนี้ต้องให้ความเคารพ และสำรวมเป็นพิเศษ รวมถึงต้องถอดรองเท้าด้วยนะครับ

ปรางค์ประธานมีแสงเข้าจากด้านบน

พระพุทธรูปปางนาคปรกบนชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของปราสาทบายน

พระพุทธรูปปางนาคปรกมีความสำคัญอย่างมากต่อชาวขอมครับ เราจะพบเห็นได้อีกหลายจุดในเมืองเสียมเรียบ เพราะชาวขอมเชื่อกันว่าบรรพบุรุษตนเองสืบเชื้อสายมาจากนาค โดยมีข้อความในจารึกที่กล่าวถึงต้นกำเนิดราชวงศ์เขมรว่า โสมา นางพญานาค ถูกโกณฑัญญะพราหมณ์จากอินเดีย ยิงด้วยธนูไฟ นางพญานาคจึงยอมแพ้ โกณฑัญญะได้แต่งงานกับนางและนำความเจริญจากอินเดียมาสอนให้นางและชาวขอมโบราณ และยังมีเรื่องเล่าของชาวกัมพูชาว่า นางนาคแห่งเมืองบาดาลซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวขอม ได้ครองคู่กับชายหนุ่มจากเมืองมนุษย์ แต่นางไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้ตลอด พญานาคบิดาจึงเลือกพื้นที่เพื่อสร้างเมืองให้ลูกสาวและลูกเขยได้อยู่ด้วยกัน โดยเลือกพื้นที่น้ำท่วมถึงแล้วสูบน้ำเข้าท้องจนเหือดแห้งกลายเป็นแผ่นดิน ชาวเมืองจึงบูชาพญานาคที่ช่วยสร้างเมือง

พอใกล้เที่ยง ทัวร์ก็ทยอยกลับกันกันหมด การถ่ายรูปเดี่ยวบนชั้น 3 ก็ทำได้ง่ายขึ้นครับ

หลังจากได้จ้องมองรอยยิ้มปริศนาแห่งบายนจนหนำใจแล้ว ท้องก็เริ่มร้อง เราก็พากันลงไปหาอะไรกิน ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้จะมีร้านอาหารบริการลูกค้าอย่างแน่นอนครับ แต่เนื่องจากร้านอาหารอยู่ห่างจากปราสาทบายนพอสมควร จขกท จึงได้นัดหมายเสม็ด โชเฟอร์ตุ๊กๆไว้ ว่าให้มารอรับที่ประตูปราสาททิศเหนือ เพื่อพาเราไปร้านอาหารครับ

หลังพักทานข้าวกลางวันเสร็จแล้ว เราจะเที่ยวเขตพระราชวังหลวงซึ่งอยู่ใกล้กับร้านอาหารก่อน แล้วค่อยกลับไปแถวประตูทิศเหนือของปราสาทบายนอีกครั้ง

นรกภูมิ

เริ่มต้นการเดินเที่ยวในเขตพระราชวังหลวงด้วยหินสลักก้อนใหญ่นี้ ที่เรียกว่า นรกภูมิ หรือเมืองบาดาล ซึ่งประกอบไปด้วยรูปสลักอสูร พญานาค และพระยม ใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ

นรกภูมิมีทางเดินที่เป็นซอยเข้าไปนะครับ แต่หลังจากชวนแล้ว คุณแม่ไม่อยากเดินผ่าน จึงเลี่ยงที่จะเที่ยวส่วนนี้ไป 555

ลานพระเจ้าขี้เรื้อน

เดินขึ้นมาจากนรกภูมิ จะพบกับลานชื่อสุดแปลกว่า ลานพระเจ้าขี้เรื้อน
รูปพระยม หรือพระยมราชที่ลานพระเจ้าขี้เรื้อน ปัจจุบันเป็นองค์จำลองครับ

สำหรับที่มาของชื่อลานพระเจ้าขี้เรื้อนก็คือ เดิมทีเมื่อครั้งมีรูปพระยมประดิษฐานอยู่ที่นี่นั้น นิ้วพระหัตถ์ขวาได้หักไป ชาวบ้านที่มาเห็นก็เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคเรื้อน ก็เป็นที่มาของชื่อนับแต่นั้นมา

เดินไปเรื่อยๆจะพบกับลานช้าง หรือ elephant terrace ครับ

ปราสาทพิมานอากาศ

และแล้วเราก็มาถึงอีกหนึ่งไฮไลต์เสียที ปราสาทพิมานอากาศนั่นเอง ตามตำนานเล่าว่า ปราสาทแห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของนางนาค ผู้ปกป้องราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ต้องเสด็จมาหลับนอนกับนางนาค หากกษัตริย์องค์ใดทรงปฏิบัติไม่ครบกำหนดวัน นางจะโกรธ และบันดาลให้ราชอาณาจักรล่มสลาย

ความวิเวกวังเวงของปราสาทพิมานอากาศแม้ในยามกลางวัน อาจไม่ได้ดูเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนขึ้นไปนัก

เนื่องจากมาเที่ยวในฤดูฝน พื้นที่รอบปราสาทพิมานอากาศซึ่งอยู่ต่ำกว่าบริเวณอื่นโดยรอบนั้น จะถูกน้ำท่วม และไม่สามารถขึ้นไปบนตัวปราสาทได้นะครับ แต่อย่างไรก็ตาม การได้มาสัมผัสศาสนสถานประจำเขตพระราชวังหลวง ซึ่งมีตำนานเล่าขานน่ากลัว ก็ให้ความสุขกับผมมากๆแล้วครับ
ระหว่างปราสาทพิมานอากาศซึ่งอยู่ในเขตพระราชหลวง กับปราสาทบาปวน จะมีซุ้มประตูกั้นอยู่  ซุ้มสวยถูกใจครับ ขอถ่ายรูปคู่กับคุณแม่เป็นที่ระลึกซักหน่อย

ผ่านพ้นซุ้มประตูแล้ว ก็จะเข้าสู่เขตของปราสาทบาปวน

ปราสาทบาปวน (อ่านว่า บา-ปวน ไม่ใช่ บาป-วน นะครับ)

จากซุ้มประตูที่ผ่านมา เราจะไม่ได้ผ่านเข้ามาโดยตรงจากทางเดินที่ทอดยาวนะครับ ซุ้มประตูชั้นนอกสุดเรียกว่า โคปุระ

ทางเดินที่ทอดยาวสู่ตัวปราสาท

ปราสาทบาปวนเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ แม้จะอยู่ในเขตนครธม แต่ถูกสร้างขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้สร้างขึ้นในสมัยนครธมครับ ที่ปราสาทแห่งนี้มีเรื่องเล่าว่า เมื่อทหารชนะสงครามจะขนข้าวของเงินทองมาเก็บรวบรวมไว้ ว่ากันว่าสมัยก่อนที่ยอดปราสาท รวมถึงศิวลึงค์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในยังเป็นทองคำซะด้วย

หลังจากเที่ยวเพลินๆ ก็งานเข้าครับ Angkor pass หายไปหนึ่งใบ!!! เวรแล้ววว พรุ่งนี้ต้องใช้ตั๋วตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด ซื้อตั๋วพรุ่งนี้ไม่ทันแน่นอน แล้วตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลานัดจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่บาแค็งแล้วด้วย ว่าแล้วก็รีบโทรนัดให้เสม็ดมารับ เพื่อพาไปจุดขายตั๋วทันที

มาถึงที่ขายตั๋ว แจ้งปัญหาให้พนักงานขาย แล้วก็เป็นไปตามคาดครับ เค้าไม่มีนโยบายให้ตั๋วใหม่ หรือ refund ให้ผู้ทำตั๋วหาย ต้องซื้อใหม่ไปตามระเบียบ เมื่อซื้อตั๋วใหม่เสร็จเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปบาแค็งกันต่อ จุดมุ่งหมายก็คืออาทิตย์อัสดงบนพนมบาแค็ง

เมื่อเสม็ดพาเรามาถึงตีนเขาแล้ว (ปราสาทบาแค็งอยู่บนเขาเนื่องจากสร้างตามคติความเชื่อตามเขาพระสุเมรุ) ปรากฏว่า ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แน่นอนว่าเราไม่สามารถขึ้นเขาได้ จึงต้องตัดใจเดินทางกลับ โดยจะไปแวะหาของกินที่ Pub street ซะหน่อย

ระหว่างทางไป Pub street เวลา 16.50 ฝนก็หยุดลง มองบนฟ้าเห็นดวงอาทิตย์อยู่ลิบๆ รีบบอกให้เสม็ดหันรถกลับไปขึ้นเขาทันที แต่เสม็ดก็ทำให้ความหวังเราพังทลายลง โดยบอกว่า เขาเปิดให้ขึ้นถึงแค่ 17.00 เท่านั้นนะครับ ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ก็เอาวะ ไม่ได้วันนี้ ยังมีพรุ่งนี้ ว่าแล้วก็มุ่งหน้าสู่ Pub street ต่อไป

ที่ Pub street ผมก็เข้าร้านชื่อดังนะครับ แต่อาจจะสั่งอาหารไม่ถูกเอง รสชาติเลยไม่ค่อยถูกปาก ส่วนที่พลาดไม่ได้ก็นี่เลย Angkor beer ซึ่งหลายๆร้านจะมีโปรโมชั่น แก้วละ 0.5 USD หรือประมาณ 16-17 บาทเท่านั้น ! หลังเหนื่อยมาทั้งวัน ก็ได้เวลากลับไปนอนแผ่หลาที่โรงแรมเสียที

สรุปการเที่ยวในวันแรก

  • ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผน ยกเว้นที่อดไปดูอาทิตย์ตกที่บาแค็งเนื่องจากฝนกระหน่ำลงมาครับ
  • เฉลยแผนแปลกๆที่ว่า ทำไมถึงไม่เที่ยวนครธมให้เสร็จไปในช่วงเช้าไปเลย นั่นเป็นเพราะ ทัวร์ส่วนใหญ่จะจัดให้เที่ยวนครธมให้เสร็จหมดในช่วงเช้าแล้วไปต่อปราสาทอื่นช่วงบ่าย หากเราเที่ยวตามทัวร์ก็ต้องพบกับนักท่องเที่ยวมหาศาลแน่ๆ การวางแผนไปปราสาทตาพรหมก่อนทำให้เราเจอนักท่องเที่ยวน้อยที่ปราสาทตาพรหม เมื่อมาถึงนครธมแล้วก็เห็นกรุ๊ปทัวร์ใหญ่ๆ กำลังทยอยออกจากปราสาทบายน ทำให้เราไม่พบกับนักท่องเที่ยวที่มากจนเกินไปนัก แล้วการที่เราเที่ยวนครธมคร่อมเที่ยง โดยช่วงบ่ายเป็นการเที่ยวเขตพระราชวังหลวงนั้น ทำให้เราแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย (โดยเฉพาะที่ปราสาทพิมานอากาศที่เงียบสงัดวังเวงมาก) เนื่องจากช่วงบ่ายของแต่ละวันคือเวลาที่เหมาะสมกับการเที่ยวนครวัดนั่นเองครับ

Part 1 ก็คงจบเท่านี้ โปรดติดตาม part 2 ด้วยนะครับ

หากเห็นว่าข้อมูลดี มีประโยชน์ ช่วยกด like แฟนเพจเฟซบุ๊คเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ
❤️

ชื่อเพจ
Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว
หรือตามลิงค์ไปได้เลยครับ

 

2 COMMENTS