Day 2

มาต่อกันที่วันที่ 2 นะครับ สำหรับแผนในวันนี้ก็เป็นตามนี้

  • ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด
  • ออกนอกเมืองไปชมความงานของป้อมสตรี “บันเตียสะเรย”
  • กลับมาเที่ยวนครวัดในช่วงบ่าย
  • ชมพระอาทิตย์ตกที่บาแค็ง ซึ่งเป็นงานซ่อมจากที่เมื่อวานอดไป

Tips: การชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด ส่วนการเที่ยวนครวัดในช่วงเช้า จะถ่ายรูปจะย้อนแสง ถ่ายได้ยากมาก และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องไปๆมาๆระหว่างนครวัดกับปราสาทแห่งอื่นนั่นเองครับ

รุ่งอรุณที่นครวัด

วันนี้เรานัดกับเสม็ด โชเฟอร์สุดหล่อ ตั้งแต่เวลา 4.50 น. เพื่อออกเดินทางไปนครวัด ก่อนออกเดินทางพนักงานของโรมแรมก็นำอาหารเช้าใส่กล่องโฟมมาเตรียมไว้ให้เราเพราะห้องอาหารโรงแรมยังไม่เปิดครับ ตลอดเส้นทางแม้ว่าจะยังมืด แต่ก็เจอรถคันอื่นเป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือ แสงแรกของวันที่นครวัด

มาถึงนครวัดประมาน 5.10 น. นักท่องเที่ยวก็ทยอยกันมาเรื่อยๆทั้งที่ยังมืดๆนี่แหละครับ ทางเข้าหลักของนครวัดอยู่ที่ประตูทิศตะวันตกนะครับ ไม่ต้องกลัวจะหลง เพราะรถทุกคันก็จะมาส่งนักท่องเที่ยวที่เดียวกันหมด แล้วก็เดินตามกันไป ช่วงที่ จขกท ไปเที่ยวทางเดินหลักที่ใช้ข้ามน้ำยังปิดปรับปรุงอยู่ ต้องเดินบนทุ่นลอยน้ำแทน จุดที่ถือว่าเด็ดสำหรับการถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดอยู่ที่สระบัวนะครับ เมื่อเดินข้ามน้ำและผ่านซุ้มประตูชั้นนอกแล้ว ให้เดินเลี้ยวซ้ายไปตามบรรณาลัยครับ

มืดตึ้บ เห็นบรรณาลัยแล้วเลี้ยวซ้ายเลยครับ

เมื่อมาถึงก็พบว่า โอ้โห มีคนมาจองที่ถ่ายรูปไว้เพียบเลย แต่โชคยังดีเมื่อเหลือที่ว่างให้เรานิดนึงอีกทั้งฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก หลังจากรออย่างใจจดใจจ่ออยู่นาน สิ่งที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฏต่อหน้า ภาพที่พระสุริยาทิตย์ (เทพประจำดวงอาทิตย์) ทรงราชสีห์นำแสงแรกของวันผ่านมายังเทวสถานที่สร้างอุทิศแต่พระวิษณุ ช่างงดงามจับใจไม่ผิดไปจากวลีอมตะของ Arnold Joseph Toynbee แม้แต่น้อย “See Angkor Wat and die” “ก่อนตายขอได้ยลนครวัด”

หลังจากปลาบปลื้มกับฉากเบื้องหน้าอยู่นาน พอหันมาก็ อ้าว คนหายไปไหนกันหมด นักท่องเที่ยวสบายตัวกันแล้วครับ บ้างก็ยังมุ่งหน้าเข้าไปเที่ยวในตัวปราสาท บ้างก็กำลังกลับที่ทางเดิม ส่วน จขกท เองก็ขอพักที่นครวัดไว้เสียก่อน เนื่องจากตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตก การเที่ยวในช่วงเช้า จะถ่ายรูปจะย้อนแสง ถ่ายได้ยากมาก และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องไปๆมาๆระหว่างนครวัดกับปราสาทแห่งอื่นนั่นเอง

ปราสาทบันทายสรี (คนท้องถิ่นออกเสียงว่า บอน-เตีย-สะ-เรย)

ใช้เวลาเดินเที่ยวประมาน 2 ชั่วโมงครึ่ง

คำว่า บอนเตีย แปลว่า สตรี ส่วนคำว่า สะเรย แปลว่า ป้อม รวมแล้วแปลได้ว่า “ป้อมสตรี” เนื่องจากลวดลายที่สลักบนแห่นหินของปราสาทนี้นั้นงดงามอ่อนช้อยราวกับช่างผู้สลักเป็นสตรีก็ไม่ปาน จึงได้ชื่อว่าป้อมสตรี แต่จริงๆแล้วช่างเป็นผู้ชายนะครับ
ปราสาทแห่งนี้อยู่ห่างจากนครวัด นครธมประมาน 33 กิโลเมตร เราจึงต้องจ่ายค่ารถตุ๊กๆ ไป-กลับเพิ่มเติมอีก 8 USD ครับ

ปราสาทแห่งนี้แตกต่างจากปราสาทอื่นที่ผู้สร้างไม่ใช่พระมหากษัตริย์ แต่เป็นขุนนางนะครับ ปราสาทจึงมีขนาดเล็ก และอยู่ในที่ต่ำเพื่อไม่ให้เป็นการหมิ่นพระบารมีแห่งกษัตริย์นั่นเอง โดยขุนนางผู้สร้างคือ พราหมณ์มหาราชครู “ยัชญะวราหะ” ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5
ปราสาทแห่งนี้สร้างโดยใช้เฉพาะหินทรายสีชมพูเท่านั้น สีของปราสาทจึงต่างกับแห่งอื่นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังเลือกใช้แต่ช่างฝีมือเยี่ยม ภาพสลักอ่อนช้อย คม เก็บรายละเอียด ปราสาทแห่งนี้จึงต้องเรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว คุณภาพคับจอครับ
ซุ้มประตูทางเข้าเล็กนิดเดียวเอง

ปราสาทแห่งนี้สร้างตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ เนื่องจากประตูทางเข้าอยู่ทิศตะวันออก ที่หน้าบันของซุ้มประตูกำแพงนี้จึงเป็นรูปสลักของพระอินทร์เทวดาประจำทิศตะวันออก ทรงช้างเอราวัณสามเศียร ซึ่งจะเห็นได้ว่า ช่างสลักละเอียดมาก ดูต่อไปเรื่อยๆนะครับ ละเอียดทุกภาพเลย

เดินผ่านซุ้มประตูเข้ามา จะพบกับทางเดินทอดยาว แต่ก่อนทางเดินนี้มีไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น โดยคนทั่วไปจะต้องเดินทางด้านข้างครับ

ระหว่างทางจะมีอาคาร 2 หลังอยู่ 2 ข้างทาง ขอให้อย่ารีบเดินผ่านไปนะครับ ที่อาคารขวามือมีภาพสลักเล่าเรื่องราว นรสิงหาวตาร (พระวิษณุอวตารเป็นนรสิงห์) ฆ่ายักษ์โดยการใช้กรงเล็บแหวกออกเป็น 2 ท่อน

นรสิงหาวตาร คืออวตารของพระวิษณุเป็นรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสิงห์) เพื่อปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ คือยักษ์ตนนี้เนี่ยได้รับพรมา 3 ประการ 1. ฆ่าไม่ตายด้วยอาวุธใดๆของเทวดา มนุษย์ สัตว์ หรืออสูร 2. ไม่ตายทั้งนอกบ้านและในบ้าน 3. ไม่ตายทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งยักษ์ตนนี้ก็ออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อน ร้อนถึงพระวิษณุอวตารเป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งสิงห์ (นรสิงห์) เป็นการแก้พรข้อที่ 1 โดยหลอกล่อให้ยักษ์มายืนที่ธรณีประตู (บอกไม่ได้ว่าเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน) เป็นการแก้พรข้อที่ 2 และฆ่าในเวลาโพล้เพล้ (บอกไม่ได้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน) จึงสามารถฆ่ายักษ์ตนนี้ได้ครับ

ส่วนอาคารหลังทางซ้ายมือ (ทิศใต้) เป็นภาพสลักอุมามเหศวร พระแม่อุมาประทับบนโคนนทิร่วมกับพระศิวะ

ก่อนจะผ่านซุ้มประตูตัวปราสาท ทางซ้ายมือจะมีหน้าบันที่หักลงมาแล้ว ได้รับการวางตั้งไว้กับพื้นอยู่มีความสวยงามมาก หากรีบเข้าตัวปราสาทไปโดยไม่แวะชมก่อนถือว่าน่าเสียดายเลยล่ะครับ

ภาพสลักเป็นเรื่องราวของพระรามกับพระลักษมณ์ที่เรารู้จักกันดีกำลังต่อสู้กับอสูรชื่อพระพิราบ เพื่อแย่งนางสีดากลับคืนมา (แหม่ นางสีดานี่มีแต่คนแย่งจริงๆ) เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นตอนที่พระรามเสด็จอรัญกะ หรืออีกชื่อคือ พระรามเดินดง (เหมือนชื่อท่าแม่ไม้มวยไทยชื่อดังนั่นแหละครับ) หากสังเกตดีๆจะพบว่า ช่างสลักแสดงอารมณ์ได้ดีมาก โดยเฉพาะนางสีดาที่กำลังทำท่าขอความช่วยเหลือครับ

หน้าบันอีกชิ้นที่หักลงมา เป็นภาพสลักที่คาดว่าเป็นพระพรหม เทพผู้สร้างแห่งศาสนาพราหมณ์กำลังทรงหงส์

เป็นยังไงบ้างครับ นี่ยังไม่เข้าสู่ตัวปราสาทจริงๆเลย ก็พบได้พบกับภาพสลักที่สวยงามขนานนี้แล้ว และที่ไม่น่าเชื่อคือ ภาพสลักเหล่านี้อยู่มา 1000 กว่าปีมาแล้วนะครับ ทำให้จินตนาการไม่ออกไปเลยว่าสมัยก่อน ปราสาทแห่งนี้สวยงามขนาดไหนกัน
เมื่อผ่านซุ้มประตูนี้เข้าไป ให้หยุดก่อนนะครับ แล้วแหงนหน้ามองขึ้นบน เพราะจะมีหน้าบันของประตูอีกชั้นซ้อนอยู่ ถ้าไม่สังเกตดีๆจะผ่านไปอย่างน่าเสียดายอีกเช่นกันครับ

หน้าบันนี้เป็นภาพสลักคชลักษมี โดยพระลักษมี เทวีแห่งความงามประทับนั่ง และมีช้าง 2 เชือกใช้งวงชูหม้อน้ำมนต์เพื่อรดน้ำจากพิธีกวนเกษียรสมุทรให้พระลักษมีได้เพื่อถวายตัวกับพระวิษณุครับ

ผ่านซุ้มประตูเข้ามาจะพบฐานโยนี (อ่านไม่ผิดครับ ฐานโยนี ซึ่งหมายถึงอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงนั่นแหละ) เป็นฐานที่รองรับศิวลึงค์ ซึ่งปัจจุบันไม่พบแล้ว โดยฐานโยนีหมายถึงพระแม่อุมา ส่วนศิวลึงค์ใช้แทนองค์พระศิวะ ส่วนร่องบนฐานโยนีที่เห็นเป็นขีดๆทางซ้ายมือนั้นเดิมใช้ทางผ่านของน้ำศักสิทธิ์ครับ

ผ่านตรงนี้มาก็เข้าสู่ตัวปราสาท เราจะพบโคนนทิหมอบอยู่หน้าปราสาทชั้นในทั้งสามครับ แม้จะเสียหายไปมาก แต่ยังพอเห็นเค้าลางที่กีบเท้าและหาง โคนนทิเป็นพาหนะของพระศิวะ การที่มีโคนนทิหมอบอยู่หน้าปราสาทเป็นการแสดงให้เห็นถึงว่าพระศิวะประทับอยู่ภายในนั่นเอง

ปราสาทหลักมีทั้งหมด 3 หลัง สร้างอยู่บนฐานเดียวกันครับ เป็นการสร้างเพื่อถวายเทพทั้งสามผู้เป็นใหญ่ในศาสนาพราหมณ์ หรือที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” ที่เราเคยเรียนกันในวิชาสังคมศาสตร์นั่นแหละครับ ตรีมูรติ ได้แก่ พระศิวะ (ปราสาทหลังใหญ่สุด) พระวิษณุ และพระพรหม

ช่วงที่ไม่ค่อยมีคน ปราสาทก็จะดูวังเวง น่าเกรงขาม ทวารบาลผู้เข้าประตูก็ดูเหมือนจะเฝ้าระมัดระวังแขกผู้ไม่ได้รับเชิญอยู่ตลอดเวลา

เคยได้ยินคำว่า นารายณ์ทรงครุฑกันใช่ไหมครับ? ที่หน้าปราสาทหลังที่อยู่ทางทิศเหนือซึ่งสร้างถวายพระวิษณุ เราจะพบประติมากรรมครุฑอยู่หน้าปราสาท เนื่องจากครุฑเป็นพาหนะของพระวิษณุ หรืออีกชื่อหนึ่งคือพระนารายณ์นั่นเอง

หลังจากเดินวนโดยรอบเสร็จแล้ว เราก็มาเพลิดเพลินกับทับหลัง และหน้าบันที่สลักไว้อย่างสวยงามวิจิตรกันครับ
หน้าบันของปราสาทหลังกลางเป็นภาพสลักขณะพระศิวะกำลังฟ้อนรำ หรือเรียกว่า “ศิวนาฏราช” ซึ่งพระองค์ได้ร่ายรำหลังจากปราบพวกฤาษีที่พากันมั่วสุมกับผู้หญิง

นอกจากนี้ทางซ้ายมือด้านล่างของหน้าบัน เราจะเห็นรูปสลักของนางกาไรก์กัล อัมเมยาร์ นางผู้จัดท่ารำให้พระศิวะ ซึ่งเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงครับ  โดยนางอุทิศตนเป็นสาวกของพระศิวะตั้งแต่ยังเด็ก เดิมมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่สามีได้หนีไปแต่งงานใหม่ นางจึงได้ขอพรจากพระศิวะให้ดลบันดาลให้นางมีรูปร่างอัปลักษณ์เหมือนโครงกระดูกเพื่อจะได้มีสมาธิรับใช้พระศิวะอย่างเต็มที่ นางใช้มือแทนเท้าเดินขึ้นไปจนถึงเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ พระศิวะจึงปลดปล่อยให้นางไม่ตาย

เมื่อเดินวนไปทางซ้าย เราจะพบบรรณาลัย ที่มีภาพสลักหน้าบันอย่างอลังการงานสร้างอยู่ กล่าวถึงเหตุการณ์ “ทศกัณฐ์โยกเขาไกรลาส”

ภาพสลักเป็นการจำลองเขาไกรลาศที่ประทับของพระศิวะ ไล่จากต่ำไปสูง ชั้นล่างสุดแสดงให้เห็น ทศกัณฐ์ร่างยักษ์ มี 10 พักตร์ 10 กร กำลังโยกเขาไกรลาส รายล้อมไปด้วยสิงสาราสัตว์ที่กำลังแสดงอาการตกใจกลัว ชั้นถัดขึ้นมาเป็นพวกคนธรรพ์ (แสดงด้วยลักษณะครึ่งเทวดาครึ่งสัตว์) ถัดขึ้นมาอีกเป็นพวกฤาษี และที่ชั้นสูงสุดเป็นพระแม่อุมาแสดงอาการตกใจกลัวด้วยการขึ้นมาประทับบนพระเพลาของพระศิวะ

ภาพสลัก “กามเทพแผลงศร” ที่ชั้นบนสุด กามเทพที่อยุ่ทางขวามือ กำลังแผลงศร (ยิงลูกธนู) ใส่พระศิวะซึ่งกำลังประทานสร้อยแก่พระแม่อุมา

ภาพสลักที่คาดว่าเป็นพระกฤษณะกำลังฆ่าพระยากงส์

ภาพสลัก พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และดลบันดาลให้ฝนตก จะเห็นสายฝนเป็นเส้นๆ และมีสัตว์ต่างๆอยู่ด้านล่างครับ

ภาพสลักเล่าเรื่องรามายณะ ตอนพาลีสู้สุครีพ โดยมีพระรามซึ่งอยู่ทางขวามือ แผลงศรใส่พาลี และพาลีค่อยๆล้มลงทางซ้ายมือโดยมีสุครีพน้องชายเข้าประคอง

สำหรับแฟนๆรามเกียรติ์คงจำพี่น้องพญาวานรคู่นี้ได้ พาลีเป็นบุตรของพระอินทร์ ได้รับพรที่ว่า เมื่อพาลีสู้กับใคร ศัตรูของพาลีจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง ทำให้พาลีไร้พ่าย เคยเอาชนะทรพี ควายที่ฆ่าพ่อตนเอง รวมถึงเคยเอาชนะทศกัณฐ์ได้ด้วย ส่วนสุครีพน้องชายนั้น เคยไปช่วยพระศิวะยกเขาไกรลาสให้ตั้งตรงเมื่อคราวที่ทศกัณฐ์โยกเขาไกรลาสที่ได้กล่าวไปแล้วครับ พระศิวะจึงประทานนางดาราให้เป็นรางวัลแก่สุครีพ แต่พาลีผิดคำสัตย์มาแย่งนางดาราไป สุดท้ายพาลีจึงต้องศรพระรามตาย ก่อนตายพาลีเกิดสำนึกผิดจึงสอนความดีชั่วให้กับสุครีพ เป็นที่มาของคำกลอนสุภาษิต “พาลีสอนน้อง” นั่นเองครับ

ปราสาทบอนเตียสะเรยไม่ได้มีดีเฉพาะทับหลังหรือหน้าบัน รูปสลักเทพบุรุษและเทพสตรีต่างๆก็ทำได้อย่างงดงามครับ

รูปสลักเทพบุรุษ

รูปสลักนางอัปสราองค์นี้ เป็นไฮไลต์ของปราสาทแห่งนี้ครับ ช่างสลักได้มีแววตาดั่งมีชีวิตจริง ราวกับว่าในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ได้กลายเป็นหินไปเสียอย่างนั้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ ปราสาทเล็กๆแห่งนี้ จิ๋วแต่แจ๋ว อัดแน่นด้วยคุณภาพจริงๆ แผ่นหินที่ใช้สลักแต่ละแผ่น แทบจะไม่มีช่องว่างเหลือเลย แถมการสลักก็ทำได้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม นึกแล้วนับถือฝีมือคนสมัยก่อนนัก สมแล้วที่ปราสาทแห่งนี้ได้สมญาว่า “รัตนชาติแห่งขอม” อย่างแท้จริง

หลังจากเพลิดเพลิน อิ่มเอมใจกับภาพสลักอันสวยงามของปราสาทบันทายสรีอยู่นาน เราก็ได้เวลาจะเดินทางกลับไปนครวัดละครับ โดยตั้งใจว่าจะไปทานข้าวกลางวันก่อนเที่ยง แล้วรีบเข้าไปนครวัดตั้งแต่ยังไม่บ่าย

ระหว่างทางกลับจากปราสาทบันทายสรี เราก็ผ่านปราสาทแปรรูป อีกหนึ่งปราสาทชื่อดัง เสม็ดก็จอดแวะให้เราลง แต่เนื่องจากเราไม่ได้วางแผนว่าจะเที่ยวที่นี่ จึงได้แค่ลงถ่ายรูปนิดหน่อยครับ

อ้อ ปราสาทแปรรูปเป็นอีกแหล่งชมพระอาทิตย์ตกดินนะครับ เผื่อใครอยากจะดูอาทิตย์ตกดินนอกเหนือจากที่บาแค็ง

นครวัด

ใช้เวลาเดินเที่ยวประมาน 3-4 ชั่วโมง

มาต่อกันปราสาทที่เป็นพระเอกของทริปเสียมเรียบสำหรับใครหลายๆคนนะครับ ปราสาทหินนครวัดนั่นเอง
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ปราสาทแห่งนี้เคยได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

แม้จะอยู่ใกล้กับบ้านเราแค่คืบ แต่หากไม่มาสัมผัสด้วยตาตัวเอง เราก็ไม่สามารถทราบได้เลยว่าความยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาถึง 30 ปีในการสร้าง จนเป็นสาเหตุให้อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองถึงขีดสุดต้องล่มสลายลงนั้นเป็นอย่างไร

หลังจากงีบบนตุ๊กๆไปได้สักพัก เราก็มาถึงปราสาทนครวัดครับ แล้วก็เริ่มด้วยการเติมพลังก่อนเลย มื้อนี้เราสั่ง ลกลั่ก (lok lak) จานซ้าย มีให้เลือก หมู/เนื้อ/ปลา รสชาติออก หวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ จิ้มกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยว รวมๆแล้วอร่อยครับ ส่วนจานด้านขวาผมจำชื่อไม่ได้ จำได้แค่ว่าอร่อยมาก แล้วอีกจานผมลืมถ่ายรูปมาครับ ส่วนเครื่องดื่มสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รีกับมะม่วงปั่นมา ต้องบอกว่า น้ำมะม่วงปั่นนั้นอร่อยจริงๆ ยิ่งดื่มตอนร้อนๆแล้วหายเหนื่อยเลยทีเดียว โดยรวมแล้วมื้อนี้อร่อยสุดสำหรับทริปนี้ครับ

หลังเติมพลังกันเรียบร้อย เราก็ต้องมาสู้กับแดดจ้ากันต่อ อย่างที่บอกนะครับ ทางเข้าหลักปิดปรับปรุงอยู่ เราต้องเดินบนทุ่นลอยน้ำ ส่วนรูปด้านล่างก็คือ สิงห์และพญานาคเจ็ดเศียรที่ทางเข้าหลักครับ

เริ่มแรกเลยเราก็จะกลับไปที่สระบัว สถานที่ถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อจะถ่ายนครวัดตอนกลางวันบ้าง

เห็นบรรณาลัยทางซ้ายมือแล้วเลี้ยวซ้ายเลยครับ

นครวัดในยามกลางวันก็มีเสน่ห์ในตัวเอง งดงามไม่แพ้ตอนพระอาทิตย์ขึ้นเลยครับ

นครวัด หรือที่เรียกอีกชื่อว่า เมืองพระนคร สร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 17 มีวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย หรือนิกายที่ยึดพระวิษณุเป็นใหญ่ โดยการสร้างนครวัดเป็นการจำลองถึงวิษณุทวีป หรือที่ประทับของพระวิษณุนั่นเอง

เนื่องจากความเชื่อที่ว่าวิษณุทวีปจะต้องเต็มไปด้วยนางอัปสรา ที่ปราสาทจึงมีภาพสลักนางอัปสรามากถึงกว่า 1700 องค์ ตลอดเส้นทางเดินเที่ยว เราก็จะพบกับภาพนางอัปสรามากมาย ซึ่งแต่ละนางนั้นจะมีทั้งรูปร่าง หน้าตา เครื่องแต่งกาย และกิริยาท่วงท่าที่แตกต่างกัน

นางอัปสรา หรือที่คนไทยเรารู้จักกันในชื่อนางอัปสร เป็นชาวสวรรค์เพศหญิง บ้างว่าเกิดขึ้นจากพิธีกวนเกษียรสมุทร เนื่องจากคำว่า

  • อัป หมายถึง น้ำ
  • สร หมายถึง เคลื่อนไหว

นางอัปสรามีความสามารถทางการร้องเพลง และยังมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม ซึ่งนางอัปสราในแต่ละปราสาทที่สร้างในยุคสมัยที่แตกต่างกันจะถูกสลักออกมาด้วยรูปร่างที่แตกต่างกัน สะท้อนมุมมองที่มีต่อความงามของผู้หญิงในยุคสมัยนั้นๆ เช่น นางอัปสรานี่นครวัดแห่งนี้ มีลักษณะเอวบางร่างน้อย หน้าอกใหญ่ นุ่งผ้าเอวต่ำ คล้ายกับความงามแบบพิมพ์นิยมในยุคปัจจุบันของเรา หรือประมานตัวเล็กสเป็คป๋านั่นเองครับ ฮ่าๆ

ด้วยความที่นางอัปสราที่ปราสาทแห่งนี้มีมากถึง 1700 องค์ จึงยากที่เราจะเดินสังเกตทีละนางจนครบ ไฮไลท์จึงอยู่ที่บางนางที่โดดเด่นกว่านางอื่นๆครับ เช่น ภาพสลักนางอัปสรายิ้มเห็นฟัน มี 2 นางอยู่ใกล้กันภาพนี้

ภาพสลักที่ยิ้มเห็นฟันนี้ดูแปลกตาและโดดเด่นจากนางอื่นๆ อย่างชัดเจน เพียงแต่ทั้งสองนางอยู่ในตำแหน่งที่ยากต่อการสังเกต และมักเดินผ่านไป ตอนผมไปถ่ายรูป ซึ่งใช้เวลาพักใหญ่นั้นไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเดินมาถ่ายเลยครับ

อ้อ จากความเห็นของทันตแพทย์จัดฟัน คิดว่าฟันหน้าของทั้งสองนางมีขนาดใหญ่ และไม่อยู่ตรง facial midline (กึ่งกลางใบหน้า) แม้จะยิ้มกว้างแล้วแต่กลับเห็นฟันเขี้ยวแค่เพียงครึ่งเดียว ไม่เห็นฟันหลัง คาดว่าเนื่องมาจากพื้นที่แกะสลักในช่องปากมีขนาดเล็กน่าจะทำให้แบ่งฟันซี่เล็กกว่านี้ลำบาก

ระเบียงคดของนครวัดถือเป็นจุดสำคัญที่ไม่ควรผ่านไปโดยไม่ได้ชมนะครับ ภาพสลักที่ผนังของระเบียงคดทุกท้ายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คติความเชื่อในศาสนาพราหม์ เรื่องราวจากมหากาพย์รามายณะ เรื่องมหาภารตยุทธ และเรื่องราวการเดินทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาท

Tips: เหตุผลที่ควรมาช่วงบ่าย เพราะหลายๆจุดในนครวัดมีแสงผ่านเข้ามาน้อย ชมภาพสลักได้ยากนั่นแหละครับ

ภาพสลักพระรามทรงหนุมานแผลงศรใส่กองทัพยัก โดยมีพระลักษมณ์ และพิเภกยืนอยู่ด้านหลัง

ภาพสลักทศกัณฐ์ทรงรถศึก

ภาพสลัก กุมภกรรณ จำกันได้ไหมครับว่ากุมภกรรณคือใคร? ลองนึกถึงสมัยเรียนวิชาภาษาไทยดีๆครับ

เฉลยคือ กุมภกรรณ คือน้องของทศกัณฐ์นั่นเอง

ภาพสลักจากเรื่องมหาภารตยุทธ รู้สึกจะเคยออกอากาศทางช่อง 3 (แว่วๆว่าเคยได้ยินเสียงเรียกชื่ออรชุน หากผิดขออภัย และรบกวนแก้ไขให้ด้วยนะครับ) ภาพด้านล่างนี้บอกเล่าเรื่องราวของภีษมะถูกศรพันเล่มของอรชุนทิ่มแทง แต่ไม่ตายเนื่องจากภีษมะบรรลุฌาณวิเศษ สามารถกำหนดวันตายได้ ภีษมะไม่ยอมตายและขอนอนดูผลของสงครามระหว่างลูกหลานของตนเองจนจบ จึงตายในอีก 50 วันต่อมา

แค่ระเบียงคดอย่างเดียวก็ใช้เวลาเดินชมนานแล้ว เราจึงต้องเผื่อเวลาไว้พอสมควรครับ

ภาพสลักพระยมเทพเจ้าแห่งนรกและความตาย ทรงกระบือ

ที่ระเบียงคดทิศตะวันออก เป็นภาพสลักพิธีกวนเกษียรสมุทร หรือทะเลน้ำนม (milk sea) ที่ได้เล่าไปในโพสท์ตั้งต้นนะครับ ภาพสลักนี้มีความยาวถึง 70 เมตร!!!

ฝั่งหัวพญานาคสุกรี เต็มไปด้วยเหล่าอสูร (สามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับพิธีกวนเกษียรสมุทรได้ที่กระทู้ part 1 ครับ)

ระหว่างพิธีกวนเกษียรสมุทร จะเกิดนางอัปสราออกมามากมายครับ นางอัปสราที่เกิดขึ้นนี้ ได้ถูกรับไปเป็นนางบำเรอจำนวนมาก

พระวิษณุประคองเขามันทระไม่ให้เอียง อยู่ตรงกลางพิธี

ฝั่งเทวดาอยู่ทางหางพญานาควาสกุรี จึงไม่ถูกพิษของพญานาคที่มึนหัวระหว่างถูกยื้อยุดระหว่างพิธี และทำให้หน้าตาไม่อัปลักษณ์ดังเช่นอสูร

ภาพสลักการเดินทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาท จะเห็นได้ว่า ภาพสลักของผู้ที่เป็นกษัตริย์ จะมีขนาดใหญ่กว่าทหาร อีกทั้งรายล้อมด้วยฉัตรเป็นจำนวนมาก

จุดที่เป็นไฮไลท์สำหรับคนไทยคือ ภาพสลักกองทัพเสียมกุก คาดว่าเป็นกองทัพของคนเสียม หรือสยามเมื่อนานมาแล้วนั่นเองครับ

หลังจากเวียนดูภาพสลักที่ระเบียงคดแล้ว ก็เข้าสู่ชั้นที่ 2 ของปราสาทครับ

จะสังเกตได้ว่า ภาพสลักของนางอัปสรา ยิ่งสูงชั้นขึ้น ก็จะแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดูหรูหราไฮโซขึ้นครับ

เมื่อมาถึงนครวัดทั้งที ก็ต้องขึ้นไปชั้นบนสุดให้ได้ครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า บันไดชันมาก เด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ห้ามขึ้นครับ

ความชันของบันไดเมื่อมองจากด้านบนลงมา

ชั้นบนสุดของนครวัด มีการจำกัดจำนวนคนขึ้นและลงครับ จะมีเจ้าหน้าที่คุมตลอดเวลาที่เปิดให้เข้าชม

อย่างที่บอกครับ ยิ่งสูงชั้นขึ้น อาภรณ์และเครื่องประดับของนางอัปสราจะยิ่งดูหรูหราไฮโซขึ้น

ปราสาทประธานที่สูงที่สุดในนครวัด เป็นทรงซังข้าวโพด (Corn-cob) ตามแบบศิลปะขอม ซึ่งสามารถเห็นได้ที่หลายปราสาทหรือเจดีย์ในประเทศไทยเราได้เช่นกันครับ

และนี่ คือนางอัปสราที่บนปราสาทประธาน คืออยู่บนชั้นสูงสุด (เท่าที่ผมจะเห็นได้) นั่นเอง

อ้อ เสน่ห์อีกอย่างของการมาทริปนี้ ก็คือ บรรยากาศวังเวง ลึกลับ ที่ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานี่แหละครับ

แม้ว่าปราสาทนครวัดจะสร้างด้วยศรัทธาต่อศาสนาพราหมณ์ แต่ในภายหลังได้ใช้เป็นศาสนาสถานสำหรับศาสนาพุทธ เราจึงได้เห็นพระพุทธรูปที่ปราสาทแห่งนี้ครับ

ที่ชั้นบนสุด แน่นอนว่าต้องมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ตามที่ได้กล่าวไปแล้วครับ ว่าชาวกัมพูชาเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นนางนาคนั่นเอง

มองจากชั้นบนสุด เห็นพลับพลา อาคารหลายหลัง อดทึ่งไม่ได้กับศรัทธา ภูมิปัญญา และความมุมานะของชาวขอมโบราณจริงๆครับ

ตลอดการเที่ยวนครวัด เราจะพบว่า ปราสาทแห่งนี้ ไม่ได้มีก้อนหินที่หักพังทลายลงมากองระเกะระกะเหมือนกับปราสาทแห่งอื่น เนื่องด้วยเพราะ ปราสาทนี้อยู่ในความทรงจำของชาวกัมพูชาตลอดมา แม้ปราสาทบางแห่งจะถูกลืมไปเป็นระยะเวลานานและสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ค้นพบ เช่น เมื่อคราวอองรี มูโอต์ ค้นพบนครธมครั้งแรก แต่ปราสาทนครวัดนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตลอดมาครับ

แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของนครวัดเอง ทำให้ต้องใช้เวลาถึงราว 30 ปีในการก่อสร้าง แม้ศรัทธาต่อศาสนสถานจะยิ่งใหญ่ แต่การที่ใช้เวลายาวนานขนาดนั้นย่อมส่งผลต่อความเบื่อหน่ายของแรงงาน ซึ่งก็คือประชาชนทั่วไป และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราชอาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรือง ล่มสลายลงในที่สุดครับ

หลังจากเที่ยวชมเสร็จ ก็ได้เวลาที่เรานัดกับเสม็ดไว้ เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกที่ปราสาทบาแค็งพอดีครับ แต่….. อีกแล้วครับ ฝนเทลงมาห่าใหญ่ หลังจากดูพยากรณ์อากาศแล้ว เวลาประมาณ 17.00 ฝนจะหยุดตก แต่เราก็ไม่อยากเสี่ยงขึ้นเขาที่ปราสาทบาแค็งหลังฝนตกเนื่องจากทางจะลื่น จึงตัดสินใจกลับไปที่ปราสาทแปรรูปอีกครั้งเพื่อชมพระอาทิตย์ตก

หลังออกนอกเมืองมาปราสาทแปรรูป เวลาประมาน 17.00 ฝนก็ไม่ยอมหยุดตามพยากรณ์อากาศเลย เราจึงถอดใจว่ารอบนี้คงไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตกแล้วล่ะ จึงกลับไป pub street อีกครั้งเพื่อหาของกินก่อนกลับโรงแรมครับ

Day 3

เผื่อแผนสำรองไว้ในกรณีฝนตกแล้วถ่ายภาพนครวัดตอนพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้ก็เป็นอันยกเลิกไป วันสุดท้าย จขกท และคุณแม่จึงนอนชิลๆที่โรงแรม ก่อนกลับประเทศไทยอย่างไม่รีบร้อนครับ

สรุป

ข้อดี

  • เป็นทริปที่แทบจะทุกย่างก้าวมีแต่ความสุขที่ได้ทำตามฝันในวัยเด็ก และได้พาคุณแม่ซึ่งซื้อหนังสือให้เป็นแรงบันดาลใจมาเที่ยวด้วย วินาทีที่ได้เห็นใบหน้าปริศนาแห่งบายนไม่รู้กลืนน้ำลายไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และมองใบหน้านั้นไปกี่นาที
  • อยู่ใกล้ประเทศไทยแค่คืบ เดินทางได้ทั้งทางบกและทางอากาศ ตั๋วเครื่องบินมีโปรโมชั่นตลอดปี
  • คนกัมพูชาเป็นมิตรมาก เมื่อรู้ว่าเราเป็นคนไทยก็จะยิ้มแย้ม พูดคุยด้วยดี ต้องขอขอบคุณนักท่องเที่ยวไทยคนก่อนๆที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ครับ มีเหตุการณ์หนึ่งที่โชเฟอร์แท็กซี่แถว pub street มาชวนคุยครับ
    Driver: Where are you come from?
    Me: Thailand
    Driver: Oh, I can sing a song in Thai language.
    Me: Wow, Please show!
    Driver: ออกมาคืนนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยว ออกมาคนเดียวมาตามหาคนที่ห่างไกล….
    Me: Wow. Do you know who sings this song?
    Driver: Bird Thongchai !!!
    Me: Haha, I like you voice but I am a fan of “Vid Hyper”, who owns this song.
    โชเฟอร์ก็ทำหน้าเหวอ ตลกกันไปครับ
  • ปราสาทไม่ได้มีดีแค่ขนาด หินแต่ละก้อนบอกเล่าเรื่องราวในอดีตและแสดงให้เห็นถึงฝีมือของช่างยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

ข้อเสีย

  • อากาศร้อนสุดๆ ครับ หากไม่อยากร้อนก็ต้องมาฤดูหนาว แต่ก็อย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นหากเราเลือกเที่ยวฤดูหนาว ต้องเจอกับนักท่องเที่ยวมหาศาลเป็นแน่

ขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้นะครับ โดยรวมแล้วตัว ตัวผมเองประทับใจมาก และอยากกลับไปเยือนอีกครั้ง อย่างที่บอกครับ อ่านรีวิวนี้แล้วคุณจะหลงรักกองหินเหล่านี้ หลงรักอย่างที่ผมหลงรักและพยายามถ่ายทอดออกมาทั้งทางตัวหนังสือและรูปถ่าย แม้อาจทำไม่ดีพอ แต่ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านรีวิวแรกของผมครับ

หากเห็นว่าข้อมูลดี มีประโยชน์ ช่วยกด like แฟนเพจเฟซบุ๊คเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ
❤️

ชื่อเพจ
Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว
หรือตามลิงค์ไปได้เลยครับ

 

73 COMMENTS

  1. Long time supporter, and thought I’d drop a comment.

    Your wordpress site is very sleek – hope you don’t mind
    me asking what theme you’re using? (and don’t mind if I steal it?
    :P)

    I just launched my site –also built in wordpress like yours–
    but the theme slows (!) the site down quite a bit.

    In case you have a minute, you can find it by searching for “royal cbd” on Google (would appreciate any
    feedback) – it’s still in the works.

    Keep up the good work– and hope you all take care of yourself during the
    coronavirus scare!

    • I use theme named “Newspaper”. There are various type of subtheme you can choose you prefer. I selected ‘travel’.
      I visited your site. It works properly.
      hope you take care of yourself and family during COVID-19 outbreak too. 😀

  2. I needed to send you the very small note in order to thank you so much as before for your exceptional secrets you have featured above. It was really extremely generous of you to allow publicly what exactly some people could possibly have made available as an e book in making some dough on their own, particularly since you could possibly have tried it in the event you decided. Those points also served like the great way to understand that someone else have the same keenness much like my very own to realize a good deal more around this matter. I think there are some more fun occasions up front for folks who go through your site.

  3. Thanks for another informative site. The place else could I
    get that kind of info written in such an ideal manner?
    I’ve a undertaking that I am just now operating on, and I have been on the glance out for such information.

    • Hello,
      Most of info is based on books written in Thai and English languages.
      For example,
      – 30 ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
      – นครวัด นครธม
      – Sculture of andgkor and ancient Cambodia, Millenium of glory

  4. What i don’t realize is in truth how you are not
    really a lot more well-preferred than you may be now. You are so
    intelligent. You understand thus significantly when it comes to this matter, made me for my part believe it from numerous varied angles.

    Its like men and women don’t seem to be involved except
    it’s something to do with Lady gaga! Your individual
    stuffs outstanding. At all times maintain it up!

  5. Hello there! This is my first visit to your blog! We are a collection of volunteers and starting a new project in a
    community in the same niche. Your blog provided us beneficial information to work on. You have done a wonderful job!

  6. My spouse and I absolutely love your blog and find most of your post’s to be exactly I’m looking for.

    Would you offer guest writers to write content in your case?
    I wouldn’t mind creating a post or elaborating on a number
    of the subjects you write concerning here.
    Again, awesome web site!

  7. Magnificent goods from you, man. I’ve understand your
    stuff previous to and you’re just too fantastic. I really like what you have acquired
    here, certainly like what you are saying and the way in which you say it.
    You make it enjoyable and you still care for to keep it
    smart. I can not wait to read much more from you. This is really a
    terrific web site.

    Check out my blog post; Leilani

  8. I do agree with all of the ideas you’ve offered on your post.

    They’re very convincing and will definitely work.
    Nonetheless, the posts are very short for novices. May just you please lengthen them a bit from subsequent time?
    Thanks for the post.

  9. Hey there! I realize this is sort of off-topic but I had
    to ask. Does running a well-established blog like yours take a massive amount work?

    I’m completely new to blogging but I do write in my diary on a daily basis.
    I’d like to start a blog so I will be able to share my own experience
    and views online. Please let me know if you have any suggestions
    or tips for brand new aspiring bloggers. Appreciate it!

  10. I am really loving the theme/design of your website.
    Do you ever run into any browser compatibility problems?
    A handful of my blog audience have complained about my site not working correctly
    in Explorer but looks great in Safari. Do you have any tips to help fix this
    problem?

  11. Nice post. I was checking continuously this blog and I
    am impressed! Extremely helpful information specifically the
    remaining section 🙂 I maintain such info a lot. I was seeking this particular
    information for a long time. Thank you and good luck.

  12. I believe what you said made a bunch of sense. But, consider this,
    what if you added a little content? I am not saying your
    information isn’t solid., but suppose you added something
    that makes people want more? I mean sungunner เที่ยวเสียมเรียบ part 2:
    “ก่อนตาย ขอได้ยลนครวัด” และปราสาทเล็กๆที่ไม่ควรมองข้าม |
    Travel together – เที่ยวด้วยกัน หมอฟันรีวิว is
    kinda boring. You could look at Yahoo’s front page and note how
    they write article headlines to grab people to open the links.
    You might try adding a video or a pic or two to get readers excited about everything’ve written. Just my opinion, it might make your website
    a little livelier.

  13. You really make it seem really easy with your presentation but I in finding this topic to
    be actually something which I think I might by no
    means understand. It seems too complex and extremely large for me.
    I am looking ahead for your subsequent post, I will attempt to get the
    dangle of it!

  14. Hey I know this is off topic but I was wondering if you knew of any widgets I could add to my blog that automatically tweet my newest
    twitter updates. I’ve been looking for a plug-in like this for quite some
    time and was hoping maybe you would have some experience with something like
    this. Please let me know if you run into anything. I truly enjoy reading your blog and I look forward
    to your new updates.