สำหรับ Part 3 ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วนะครับ เราจะนอนตู้นอนรถไฟมาที่เมือง Aswan กัน โดยหนึ่งในไฮไลต์เด็ดคือการ “ยกอดีตกาลมาไว้ตรงหน้า” จะเป็นสถานที่ไหน หมายถึงอะไร รออ่านกันได้เลยครับ
ทบทวน plan วันนี้เป็นวันที่ 3 ครับ เราจะไปกันที่อัสวาน เมืองทางใต้ของอียิปต์ด้วยรถไฟ
ขอเริ่มที่การขึ้นรถไฟเมื่อคืนกันเลย รถไฟเพื่อการท่องเที่ยวในอียิปต์เป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักท่องเดี่ยวด้วยข้อดีหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ค่าใช้จ่าย และบริการที่ดีครับ ส่วนทริปนี้เราซื้อตู้นอน เตียง 2 ชั้นด้วยราคาคนละ 80 USD สำหรับเส้นทาง กีซ่า ไป อัสวานครับ
การจองรถไฟนั้น สามารถจองออนไลน์ล่วงหน้าได้เลยทางเว็บไซต์ โดยสามารถเลือกขึ้นที่ไคโร หรือกีซ่าก็ได้ครับ
***สำหรับรีวิวรถไฟ และวิธีการจองโดยละเอียด สามารถอ่านได้ในโพสต์นี้ครับ:
ถึงสถานีรถไฟกีซ่าแล้ว คนพลุกพล่านทีเดียว มีคนใช้บริการเป็นจำนวนมากกว่าเก้าอี้นั่ง ทำให้หลายๆคนนั่งพื้น








หลังจากนอนหลับเต็มอิ่มด้วยความที่รถไฟวิ่งค่อนข้างนิ่ง (ช้า) แล้ว ตอนเช้าก็มี light meal มาเสิร์ฟ



ตลอดทางเลียบแม่น้ำไนล์เต็มไปด้วยทัวร์นั่งเรือล่องแม่น้ำไนล์

หลังเช็คอินโรงแรม Philae hotel, Aswan เสร็จ เราก็รีบเที่ยวกันเลย เพราะทำเวลาไม่ได้ตามแพลนแล้ว
เนื่องจากสถานที่ไม่ไกลมาก เราเลือกเดินไปพิพิธภัณฑ์นูเบียน (Nubian museum) ครับ
คำว่า “นูเบีย” (Nubia) นั้นก็หมายถึงอาณาจักรนูเบียที่อยู่ทางใต้ของอียิปต์ ในสมัยก่อนมีการรบกันระหว่าง 2 อาณาจักรและกินพื้นที่ทับกันไปมา ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ของนูเบียอยู่ในประเทศซูดานซึ่งอยู่ทางใต้ของอียิปต์นั่นเอง
เข้ามาก็เจอเสาโอเบลิสก์ (Obelisk) ตั้งเด่นเป็นสง่า สำหรับเสาโอเบลิสก์เป็นอีกสิ่งหนึ่งนอกจากพีระมิด ที่แสดงออกถึงความเป็นอียิปต์ได้ดีเลยทีเดียว เสาโอเบลิสก์แต่ละต้นเป็นของฟาโรห์แต่ละองค์ โดยมีการสลักชื่อไว้ เช่น เสานี้เป็นของฟาโรห์รามเสสที่ 2 โดยเสาถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาสุริยเทพรา (Re) หนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดของชาวอียิปต์โบราณครับ
โดยรอบเสาโอเบลิสก์ประกอบไปด้วยรูปปั้นลิงบาบูน 4 ตัว ที่มีลิงบาบูนเพราะชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าลิงบาบูนจะเต้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า เรียกว่าเรื่องราวสอดคล้องกับเสาโอเบลิสก์ที่สร้างถวายสุริยเทพได้อย่างเหมาะเจาะเลยครับ
ก่อนเข้าโถงแสดงใหญ่มีการแสดง landmarks ต่างๆของประเทศอียิปต์ คุ้นๆไหมครับ ว่านั่นคืออะไ ร??? พีระมิดทั้งสามแห่งกีซ่า พีระมิดขั้นบันได และพีระมิดโค้งที่เราเพิ่งไปเที่ยวมานั่นเอง
ส่วนนี่แสดงบริเวณเมืองลักซอร์ (Luxor) สิ่งก่อสร้างแน่นเอี้ยดขนาดนี้ ชักจะอดทนรอไปถึงไม่ไหวแล้ว!
โถงใหญ่ของพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปั้นองค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งอยู่ในท่าทางเดียวกับเทพโอชีรีส (Osiris) แห่งยมโลก
รูปปั้นองค์ใหญ่นี้เดิมอยู่ที่ Temple of Gerf Hussain ครับ ที่ต้องย้ายมาเพราะการสร้างเขื่อน ทำให้วิหารเดิมจมลงใต้ทะเลสาบ
รูปจำลองชาวนูเบียโบราณซึ่งมีผิวสีคล้ำ
ส่วนนี่เป็นรูปปั้นของ Haremakhet ผู้ที่เป็นทั้งเจ้าชาย และนักบวชสูงสุดแห่งเทพอะมุน (High priest of Amun) ซึ่งเป็นเทพสูงสุดแห่งอียิปต์ในยุคที่ลักซอร์เป็นเมืองหลวงครับ
หนึ่งในสมบัติชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือโลงศพที่ทำจากไม้ของฟาโรห์ Heqata ในสมัยอาณาจักรกลางครับ
ดูเผินๆโลงไม้นี้อาจะไม่สะดุดตาอะไร และชื่อของฟาโรห์พระองค์นี้ยังไม่ได้โด่งดังอีกด้วย แต่สิ่งสำคัญคือข้อความบนโลงที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ครับ
ข้อความที่โลงนั้น บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวงจรชีวิตที่ไม่มีจุดสิ้นสุด (unending cycle) ซึ่งนั่นก็คือ ชีวิตหลังความตายที่จะเกิดขึ้นภายหลังวิธีการทำมัมมี่ (Mummification) นั่นเอง !!
ทำให้นึกถึงประโยคที่อิมโฮเทปจากเรื่อง The mummy ผู้ที่ถูกจับทำมัมมี่ทั้งเป็นได้สลักข้อความไว้ที่ฝาโลงก่อนสิ้นใจเลยครับ “Dead is only the beginning” ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้น
เข้าเรื่องมัมมี่กันแล้วก็มาต่อกันเลยครับ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีมัมมี่ในโลงอีกหลายร่าง
การทำมัมมี่ ไม่ได้ทำเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น ยังมีสัตว์อีกหลายชนิดที่ถูกนำมาทำมัมมี่ เช่น มัมมี่แกะร่างนี้ครับ
หลังใช้เวลาเดินชมอย่างรวดเร็วเพียงครึ่งชั่วโมง เราก็ตกลงที่จะออกจากพิพิธภัณฑ์เพื่อทำเวลาครับ โดยสถานที่ต่อไปคือ Unfinished Obelisk หรือเสาโอเบลิสก์ที่สร้างไม่เสร็จนั่นเอง
*มัมมี่ที่พิพิธภัณฑ์นูเบียอยู่ในโลงนะครับ เราจะได้เห็นมัมมี่ (นอกโลง) กันที่อื่น ไว้ติดตามต่อไปครับ
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อน และหลังจากเดินไปเดินมาตาม google map แล้วไม่ถึงที่หมายสักที เราแวะซื้อน้ำจากร้านค้า ทำให้ได้ทราบว่า ผิดทางครับ วนไปๆ
คลำทางอยู่นาน ก็ถึงสักที ที่ตั้งของ Unfinished Obelisk
ในรูปคือ “หินแกรนิต (granite)” ครับ โดยรอบเป็นหินทั้งนั้นเลย ซึ่งเสาโอเบลิสก์ต้นนี้ก็แกะจากหินแกรนิตนี่แหละครับ
นอกจากขนาดมหึมาแล้ว ความสำคัญของเสาต้นนี้อีกอย่างคือ ด้วยความที่มันยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้เราทราบได้ว่า ชาวอียิปต์โบราณสร้างขึ้นด้วยวิธีการใด ส่วนสาเหตุที่ต้องหยุดการสร้างกลางคันจนเป็นที่มาของชื่อ Unfinished Obelisk นั้นคาดว่าเพราะเกิดรอยแตกระหว่างการสร้างครับ
หลังจากพักทานอาหารร้านแม็คโดนัลด์ เราก็เรียกแท็กซี่ไปท่าเรือเพื่อจะข้ามฟากไปวิหารบนเกาะฟิเล่ครับ
ส่วนรูปด้านล่าง เกิดขึ้นขณะเรากำลังเซลฟี่กัน ตาโชเฟอร์ก็อยากมาร่วมด้วย ทั้งๆที่ขับรถอยู่ซะงั้น ผลคือ เสียงบีบแตรจากรถอีกคันดังลั่น ! เฉี่ยวไปนิดเดียวครับ เกือบชนอีกคันซะแล้ว ใจหายแว่บเลย
สำหรับค่าแท็กซี่นั้น ไม่มีมิเตอร์ครับ แล้วแต่ตกลงกันเลย และไม่แพงอย่างที่คิด ในแต่ละรอบตกคนละประมาณ 10 EGP เท่านั้น และถึงแม้อากาศจะร้อนเพียงใด แท็กซี่ก็ไม่เปิดแอร์นะครับ
ขับมาประมาณ 10 นาทีก็ถึงท่าเรือแล้ว แล้วเนื่องจากเส้นทางที่เข้ามาจากในเมืองเปลี่ยวพอสมควร อีกทั้งยังไม่ค่อยมีแท็กซี่มาจอดรอบริเวณท่าเรือ เราจึงบอกให้โชเฟอร์แท็กซี่คันเดิมรอครับ เราจะไปเที่ยวบนเกาะประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขายินดีรอ โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม ใจดีจริงๆเลย
สำหรับค่าเรือข้ามแม่น้ำไนล์ไปวิหารบนเกาะฟีเล่อยู่ที่ 30 EGP ต่อคน แล้วแต่ต่อรองนะครับ
ส่วนค่าเข้าชมวิหารบนเกาะฟีเล่อยู่ที่ 100 EGP
Tips: ไม่มีตั๋วขายบนเกาะ ต้องซื้อจากท่าเรือไปเท่านั้น
นั่งเรือประมาณ 15 นาที เราก็เห็นวิหารบนเกาะกลางน้ำอยู่ลิบๆแล้ว ตื่นเต้นจริงๆ
ถึงสักที วิหารที่ “ยกอดีตกาลมาไว้ตรงหน้า”
ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะวิหารแห่งนี้ เป็นหนึ่งในวิหารที่สมบูรณ์ที่สุดของอียิปต์
ต่างกับที่เราไปเที่ยวที่ผ่านมา และต่อๆไปที่เราจะเห็นกองหินและซากปรักหักพังอย่างลิบลับครับ
ความสมบูรณ์ของวิหารแห่งนี้แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีต
ราวกับเวลาถูกหยุดไว้เมื่อ 2000 ปีก่อน
เหมือนกับว่า เรานั่งเรือย้อนเวลาเข้ามาอีกโลกหนึ่งเลยครับ !!!
วิหารแห่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ ปโตเลมี (Ptolemy) ซึ่งเป็นช่วงที่กรีกเข้ามายึดครองอียิปต์ครับ การก่อสร้างมีการต่อเติมไปอีกเรื่อยๆจนถึงช่วงโรมัน เช่น จักรพรรดิออกัสตัส (Augustus) ก็มีรูปสลักอยู่ที่นี่ครับ
เมื่อมองภาพรวมจากด้านนอก จะเห็นว่าวิหารนี้มี pylon 2 ชั้น ซึ่ง pylon ก็คือเสาประตูขนาดใหญ่นั่นเองครับ
ส่วนนี่เป็นรูปจากหนังสือ แสดงแผนผังของวิหารแห่งนี้ ที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆมากมายครับ
ตัววิหารหลักก็คือ วิหารเทพีไอซิส (Isis temple) สร้างเพื่อถวายเทพีไอซิส ผู้เป็นชายาของมหาเทพโอชีรีส แห่งยมโลกครับ
เทพีไอซิสเป็นหนึ่งในเทพีสูงสุด ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างมากในอียิปต์โบราณ โดยถือว่าพระนางเป็นเทพีซึ่งเป็นพระราชมารดา (divine mother) ของฟาโรห์ แะยังเป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ และการเยียวยารักษาอีกด้วยครับ
รูปเทพีไอซิส กับเทพโอชีรีส พระสวามี
Credit รูปภาพ: Ebay.com
แรกเริ่มเราเดินผ่าน Great colonnade (ที่วงไว้ในแผนที่) หรือระเบียงใหญ่ก่อน
ระเบียงใหญ่นี้มีเสาที่หัวเสาได้รับการแกะสลักเป็นรูปต่างๆ (capital column) ทั้งหมด 32 ต้น ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์สวยงามครับ
หัวเสาได้รับการแกะสลักอย่างวิจิตร เช่นเสาต้นนี้คล้ายต้นปาล์ม และยังมีดอกบัวที่ฐาน
*ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์บน (upper Egypt) อีกด้วย
หรือเสาต้นนี้ที่แกะเป็นรูปก้นหอย และแฉกของต้นปาปิรุส ที่ใช้ทำกระดาษนั่นเอง
*ปาปิรุสเป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์ล่าง (lower Egypt)
เพลิดเพลินกับเสาแกะสลักต่างๆ เราก็จะถึงเสาประตูที่หนึ่ง (First pylon) ครับ สภาพสมบูรณ์จริงๆ
เสาประตูนี้มีความสูง 18 เมตร กว้าง 38 เมตร สลักเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องฟาโรห์และเทพเจ้า
ด้านล่างเป็นภาพสลักฟาโรห์กำลังประกอบพิธี “พีธีกรรมการสังหารหมู่” ต่อหน้าเทพีไอซิส เทพีฮาเธอร์ และเทพฮอรัส
*สังเกตที่พระหัตถ์ของฟาโรห์กำลังจับหัวเหยื่อยจำนวนมากได้เลย ดูน่ากลัวไม่ใช่เล่น*
ส่วนภาพสลักด้านบนเสาประตู เป็นภาพฟาโรห์กำลังถวายบูชาแด่เทพโอชีริส (ใส่มงกุฏ) และเทพีไอซิส (มีดวงอาทิตย์และเขาวัวบนเศียร)ผู้เป็นชายา
ตามมาด้วยฟาโรห์ถวายบูชาแด่เทพีไอซิสและเทพฮอรัส (เศียรเหยี่ยว)
เทพีไอซิสมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับเทพฮอรัส จึงไม่แปลกที่เราจะพบรูปปั้นเหยี่ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ
เทพฮอรัสที่วิหารแห่งนี้ครับ
รูปปั้นเหยี่ยวที่เสียหายไปบ้างแล้ว
ที่ First pylon ยังมีภาพสลักด้านหลังด้วยนะครับ เมื่อเดินผ่านเข้ามาแล้วให้หันหลังไปทางด้านซ้าย เราจะพบกับภาพของเรือลำหนึ่ง (ที่โค้งๆคล้ายถ้วยนั่นแหละครับ)
ภาพสลักนี้บอกเล่าเรื่องราวการขนย้ายเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพีไอซิส (Isis’s sacred bark) ไปยังเกาะใกล้กันที่ชื่อ Biga ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ตั้งของสุสานแห่งเทพโอชีรีสพระสวามี อื้มมม…. การสร้างแต่ละวิหารบนแต่ละเกาะนี่ช่างมีความสัมพันธ์กันเสียจริงนะครับ
เกร็ดความรู้ เดิมทีวิหารเทพีไอซิสอยู่บนเกาะฟีเล่ แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อน High dam of Aswan ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นสูงจนเกาะฟีเล่ท่วม จึงมีการย้ายวิหารมาอยู่บนเกาะ Algikia ดังนั้น เกาะที่เราเดินเที่ยวอยู่ไม่ใช่เกาะฟีเล่ครับ
ผ่าน First pylon มาแล้ว ทางซ้ายมือจะพบกับ House of Birth เป็นดั่งอนุสรณ์สถานที่ประสูติของเทพฮอรัส ผู้โด่งดัง
ลองสังเกตที่หัวเสาให้ดีนะครับ คล้ายกับที่เราเคยเห็นมาแล้วที่หนึ่ง….. ใช่แล้ว ที่พิพิธภัณฑ์เมมฟิสนั่นเองครับ รูปสลักที่หัวเสาเป็นเทพีฮาเธอร์ พระราชมารดาของเทพฮอรัสนั่นเองครับ
เล่าเรื่องเทพฮอรัส
“เทพฮอรัส มีเศียรเป็นเหยี่ยว เป็นหนึ่งในเทพสูงสุดของอียิปต์ โดยพระองค์เป็นตัวแทนขององค์ฟาโรห์ ปกครองอียิปต์ครับ และได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง บทบาทของพระองค์ในตำนานนั้นโด่งดังมาก กล่าวคือ แรกเริ่มเดิมทีนั้น เมื่อเทพโอชีรีสนั่งบัลลังก์ปกครองอียิปต์ โดยมีพระมเหสีคือเทพีไอซิส แต่โอชีรีสกับถูกปองร้ายโดยเทพเจ้าเซธ (Seth) เทพแห่งสงคราม ซึ่งเป็นพระอนุชา (น้อง) แท้ๆ เทพเซธล่อลวงให้เทพโอชีรีสไปนอนในโลงที่วัดขนาดไว้พอดีตัว แล้วมัดโลงอย่างแน่นหนา นำไปถ่วงแม่น้ำไนล์ ร่างของเทพโอชีรีสถูกแยกเป็นส่วนๆ ร้อนไปถึงเทพีไอซิสออกตามหาชิ้นส่วนต่างๆจนครบ (ยกเว้นชิ้นเดียวคืออวัยวะเพศ ที่บางตำนานคาดว่าปลาในแม่น้ำไนล์ได้กินไป เป็นเหตุผลให้ชาวอียิปต์ไม่นิยมกินปลาในแม่น้ำไนล์) แล้วร่ายมนตร์ให้เทพโอชีรีสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เป็นชีวิตหลังความตาย เทพโอชีรีสจึงเป็นมัมมี่ร่างแรก และเปลี่ยนจากเทพเจ้าแห่งฟาโรห์ไปเป็นเจ้าแห่งยมโลก เราจึงมักเห็นโลงมัมมี่ประดับด้วยภาพสลักเทพโอชีรีสนั่นเองครับ
เอาเป็นว่าจะขอถือเทพฮอรัสเป็นบุตรแห่งเทพโอชีรีสนะครับ เทพฮอรัสเนี่ยได้ล้างแค้นให้บิดา ด้วยการทวงบัลลังก์อียิปต์คือจากเทพเซธด้วยการอ้างว่า ตนเองเป็นบุตรแท้ๆของโอชีรีสเจ้าของบัลลังก์เก่า แต่เทพเซธก็อ้างว่าตัวเองก็สืบเชื้อสายมาจากเทพเก็บ (Geb) เจ้าของบัลลังก์องค์ก่อนเช่นกัน
เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดครับ ผลคือเทพฮอรัสเป็นฝ่ายเอาชนะได้ และครั้งนี้เทพฮอรัสไม่เหลือชิ้นส่วนให้อย่างเมื่อคราวเทพเซธฆ่าบิดาของตน ร่างของเทพเซธถูก “กิน” จนไม่เหลือชิ้นดี ไม่สามารถคืนชีพกลับมาได้อย่างเทพโอชีรีสอีกเลย
หลังจากเทพฮอรัสโค่นเทพเซธได้สำเร็จ พระองค์ก็ขึ้นเป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ และได้รับการยกให้เป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์นั่นเองครับ”
ด้วยความที่วิหารแห่งนี้สร้างเพื่อถวายเทพีไอซิส จึงไม่แปลกที่เราจะพบทั้งรูปสลัก รูปปั้นเหยี่ยว หรือเทวสถานเกี่ยวกับเทพฮอรัสผู้เป็นบุตรได้ที่นี่ครับ แต่อย่างที่ได้กล่าวไปว่าที่ House of Birth ของเทพฮอรัส มีหัวเสาเป็นเทพีฮาเธอร์นั้น ไม่ทราบว่าต้องการจะสื่อถึงว่า “แม่” ที่แท้จริงของเทพฮอรัสคือใครกันแน่ ???
เดินผ่าน Second pylon ก็จะเข้าสู่ตัววิหาร ซึ่งเป็นจุดที่ทัวร์ลงเยอะมากกกกก ถ่ายรูปมายากมากครับ
ผนังภายในวิหารเป็นภาพสลักฟาโรห์ต่างๆถวายบูชาแด่เทพ และเทพี ซึ่งภาพสลักของฟาโรห์ที่วิหารนี้จะเป็นยุคปโตเลมี หรือยุคที่กรีกเข้ามายึดครองอียิปต์ รวมถึงโรมันด้วยครับ
ส่วนที่ถ่ายเห็นคนมานิดหนึ่งในรูปข้างล่างนั่น เป็นไฮไลต์ของวิหารนี้เลยครับ เป็นที่ตั้งของแท่น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีเรือศักสิทธิ์เทพีไอซิส (ที่สลักอยู่ที่ด้านหลังของ First pylon นั่นแหละครับ) ตั้งอยู่ตรงนี้ แต่เนื่องจากคนเยอะมาก และไกด์กำลังอธิบายลูกทัวร์อย่างออกรส แทรกตัวเข้าไม่ได้เลย เลยข้ามไปนะครับ
ภาพสลักในห้องนี้ก็ยังคงเป็นการถวายบูชาของฟาโรห์ต่อองค์เทพ อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นจักรพรรดิออกัสตัสแห่งโรมันผู้โด่งดังหรือป่าวนะครับ
โดยรอบวิหารประกอบไปด้วยเสาขนาดใหญ่จำนวนมาก ต้องแหงนหน้ามองเลยทีเดียว ส่วนความสมบูรณ์ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้ครับ ว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าอยู่มาราว 2000 ปีแล้ว
ออกจากวิหารเทพีไอซิส จะพบกับสิ่งก่อสร้างหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็น landmark ของเกาะนี้ นั่นก็คือ Kiosk of Trajan หรือศาลแห่งจักรพรรดิทราจานแห่งโรมัน นั่นเอง
จากที่เห็นในวิหารแห่งนี้ เราพบว่า แม้กรีกและโรมันจะเข้ามาปกครองอียิปต์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องเทพเจ้าของอียิปต์โบราณไป และยังแสดงความเคารพผ่านทางรูปสลักอีกด้วยครับ
ส่วนวัตถุประสงค์ของการสร้างศาลแห่งนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดครับ ส่วนใหญ่เชื่อว่า ใช้เพื่อเป็นที่พักเรือศักสิทธิ์เทพีไอซิส เมื่อต้องลำเลียงเรือไปเกาะ Biga ข้างๆที่เป็นที่ตั้งของสุสานพระราชสวามี
ความสมบูรณ์และความละเอียดของหัวเสาที่ Kiosk of Trajan
เป็นอันเสร็จสิ้นการเยือนวิหารเทพีไอซิส พี่หมอในกรุ๊ปเราดูดีใจเป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้มีแต่มุดพีระมิด อับๆ มืดๆ วันนี้มาเจออะไรสวยๆงามๆ แถมยังสมบูรณ์มากๆขนาดนี้ก็อิ่มเอมความสุขกันไปครับ
นั่งรถกลับมาพักที่ รร ได้ครู่เดียว ฟ้าก็เริ่มมืดซะแล้ว ตกลงกันว่าจะออกไปเดินตลาดใกล้ๆละครับ ได้ข่าวว่าของถูกมาก
ว่าอาหารการกินที่กีซ่าถูกแล้ว มาอัสวานยิ่งถูกไปใหญ่ครับ ราคาของในมินิมาร์ทก็ติดราคาชัดเจน ไม่โกงนักท่องเที่ยวต่างชาติ
อ้อ คนที่นี่นิยมดื่มน้ำผลไม้กันมากเลย มีร้านน้ำผลไม้เต็มไปหมดครับ
ส่วนนี่เป็นตราชั่ง ซึ่งยังคงใช้วิธีโบราณอยู่ โดยใส่ผลไม้ทางฝั่งหนึ่งของตราชั่ง เทียบกับอีกชั่นที่มีเหล็กน้ำหนัก 1 กิโลกรัมครับ
ส่วนนี่เป็นร้านขายพรม (carpet) ซึ่งเมื่อวาน Ayman ได้บอกเราว่า ถ้าเป็นพรมทำเองนั้น แต่ละผืนต้องใช้เวลาราว 1ปีเลยทีเดียว และต้องมีการเรียนในโรงเรียนทำพรมโดยเฉพาะด้วยครับ
เป็นอันว่าจบโปรแกรมวันนี้ รีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นกลางดึก เพื่อไปวิหาร Abu Simbel ที่รอคอยครับ
สรุปค่าใช้จ่ายในวันที่ 3 เที่ยวอัสวาน ครับ
หากเห็นว่าข้อมูลดี มีประโยชน์ ช่วยกด like แฟนเพจเฟซบุ๊คเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ
Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว
หรือตามลิงค์ไปได้เลยครับ