“ไม่มีฟาโรห์องค์ใดที่สร้างรูปปั้นมเหสียืนเท่าพระองค์”
คำพูดเพียงเท่านี้ ก็เรียกดึงดูดความสนใจอยากจะไปเยือนมหาวิหารที่อยู่พรมแดนระหว่างอียิปต์กับซูดานแล้วครับ
หลังจบทริปอัสวาน เราติดต่อโรงแรมให้หารถไปอาบูซิมเบล (Abu Simbel) ไว้แล้วครับ โดยต้องออกตั้งแต่ 4.00 น. เพราะวิหารห่างออกไปมากกกกกกกก เกือบ 300 กิโลเมตรจากอัสวาน โดยใช้เวลานั่งรถถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
*** ก่อนออกเดินทาง ผมได้ถามพนักงานที่โรงแรมแล้วว่า
“ได้ข่าวว่าที่อาบูซิมเบลห้ามถ่ายรูปข้างในจริงมั้ย”
พนักงานได้แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วถ่ายรูปที่เคาท์เตอร์ขายตั๋ว (ซึ่งไม่มีป้ายติด) ไปเลย
รับรองได้ถ่ายแน่นอน***
เดี๋ยวไปดูกันครับว่าจะเป็นอย่างไร
เวลารถออกจะไม่เท่ากันนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทรถทัวร์จะแจ้งเรา เพราะรถจะวนรับนักท่องเที่ยวจากหลายโรงแรมครับ
เนื่องจากวิหารอาบูซิมเบล ตั้งอยู่ที่เมืองอาบูซิมเบล ซึ่งอยู่ทางใต้ติดกับพรมแดนซูดาน อาจเกิดเหตุไม่สงบได้ รัฐบาลอิยิปต์จึงไม่อนุญาตให้รถเข้าไปในเขตแดนทีละคันนะครับ รถจะต้องไปจอดรอกันที่ด่านตรวจ แล้วขับตามๆกันไปเรื่อยๆ
มีด่านตรวจรักษาความปลอดภัยเป็นระยะ เท่าที่ทราบมาคืออียิปต์ประกาศเคอร์ฟิวในระดับไม่รุนแรงนะครับ เห็นตั้งแต่ในกีซ่าแล้ว ซึ่งผมว่ามันไม่ได้ดูน่ากลัว กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ
สำหรับใครที่ห่วงว่าจะมีการแวะให้ทานข้าวเช้าหรือป่าว เพราะออกตั้งแต่เช้ามืด
ตอบเลยว่า “ไม่มีครับ”
แต่ละโรงแรมจะเตรียมอาหารใส่กล่องให้ผู้เข้าพักนำติดตัวไปทานบนรถเลย
ตลอดทางก็ลุ้นให้คนขับรถขับเร็วๆนะครับ เพราะทราบมาว่า ใครไปถึงก่อนได้เข้าก่อน ซึ่งแน่นอนว่าจะได้ถ่ายรูปตอนที่คนน้อย แต่…. รถคันแล้วคันเล่าก็ค่อยๆผ่านเราไป เฮ้อออ
มาถึงอาบูซิมเบลแล้ว คนขับบอกเราว่า มีเวลาให้เที่ยวแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆ เสร็จแล้วให้กลับมารวมกันที่รถ !!!
หา !!! ชั่วโมงเดียวเนี่ยนะ กว่าจะเดินไปถึงก็ไกลแล้ว
จุดแรกเป็นห้องที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของวิหารแห่งนี้นะครับ ขอบอกเลยว่าให้รีบๆผ่านไปก่อนเพราะเดี๋ยวจะต้องไปต่อแถวซื้อตั๋วนาน
แล้วก็เป็นไปตามที่พนักงานโรงแรมบอกครับ
ที่เคาท์เตอร์ขายตั๋ว ไม่เขียนอะไรเกี่ยวกับการถ่ายรูป ”ภายในวิหาร” ทั้งสิ้น
พอถึงคิวเรา ก็ได้ถามพนักงานขายตั๋วไป ว่าสามารถถ่ายรูปได้มั้ย?
พนักงานก็รีบยื่นให้เลยครับ ตั๋วสำหรับถ่ายรูปภายในวิหาร ราคา 300 EGP/กล้อง แพงเอาเรื่องทีเดียว
วิหารอาบูซิมเบลตั้งอยู่ตรงข้ามทะเลสาบนัสเซอร์ (Nasser lake) ห่างออกไปไม่ไกลก็เป็นเขตแดนประเทศซูดานแล้วครับ


วิหารแห่งนี้ได้รับการยอมรับในวงกว้างว่าเป็นหนึ่งในวิหารที่สวยงามที่สุดของอียิปต์ สร้างโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 (อีกแล้ว) โดยการตัดหินที่หน้าผาเข้าไป (rock cut temple) ตัววิหารหลัก (ในรูป) ทางด้านหน้ามีความกว้าง 38 เมตร และสูงถึง 31 เมตร
ด้านบนเหนือฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิก และเหนือขึ้นไปอีกเป็นรูปปั้นลิงบาบูน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสติปัญญา (wisdom) ครับ








สนธิสัญญาฉบับนี้ เป็นความตกลงทางสันติภาพ หรือการสงบศึกร่วมกันระหว่างฝ่ายอียิปต์ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 กับพวกฮิตไทต์ (Hittite) อริราชศัตรูตัวฉกาจที่ปกครองบริเวณประเทศตุรกีในปัจจุบันครับ
***เดินผ่านภาพสลักประวัติศาสตร์มาแล้ว ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไปจะห้ามถ่ายรูปครับ โดยมีพนักงานคอยตรวจตลอดเวลา แต่ไม่เป็นไร เราซื้อตั๋วมาแล้ว ถ่ายได้ตามสบายเลย***
โถงใหญ่ของวิหาร ประกอบไปด้วยรูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทั้งหมด กำลังทำท่าไขว้มือกันที่หน้าอกแบบเทพโอชีรีส (ที่ได้กล่าวไว้ใน part 3) ครับ โดยฝั่งซ้ายรูปปั้นสวมมงกุฏขาว (White crown) แห่งอียิปต์บน ส่วนทางด้านขวารูปปั้นสวมมงกุฏคู่ (Double crown)
*ตรงนี้ถ้าใครไม่สนใจ ข้ามไปได้เลยนะครับ* ขอต่อเรื่องมงกุฏของฟาโรห์อียิปต์ โพสต์ part 2
สมัยก่อนนั้น อียิปต์แบ่งเป็นส่วนบน (Upper Egypt) และส่วนล่าง (Lower Egypt) ที่ไม่ได้เรียกอียิปต์เหนือ หรืออียิปต์ใต้ เพราะที่จริงแล้ว อียิปต์บนอยู่ทางใต้ ส่วนอียิปต์ล่าง อยู่ทางเหนือครับ
ที่เป็นแบบนี้นั้น เพราะการแบ่ง บน และ ล่าง ยึดตามเส้นทางการไหลของแม่น้ำไนล์ครับ โดยแม่น้ำไนล์ไหลจากใต้ขึ้นเหนือ ส่วนที่อยู่ต้นน้ำจึงถูกเรียกว่า อียิปต์บน นั่นเอง
เพื่อความกระชับ ขอสรุปตามตารางนี้เลยครับ
ซึ่งจะเห็นว่าทางซ้ายสวมมงกุฏที่ดูโล่งๆ หรือมงกุฏขาว ส่วนทางขวา สวมมงกุฏที่มีลักษณะของทั้ง 2 แบบมาคอมโบ รวมกันนั่นเองครับ
ท่ามกลางสถานการณ์อันคับขันนั้นเอง องค์ฟาโรห์สวดอ้อนวอนขอพลังต่อเทพอะมุน-รา
ภาพสลักฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงรถม้าศึก ตีฝ่าวงล้อมพวกฮิตไทต์
ส่วนห้องนี้เป็นห้องที่ผมชื่นชอบที่สุดเลย ดูลึกลับ วังเวง น่าเกรงขามมากเลยครับ
ภาพสลักในวิหารมีมากมาย จนแทบไม่เหลือที่ว่าง เช่นภาพสลักการแห่เรือศักสิทธิ์ (Sacred bark) คล้ายกับที่เราเห็นที่วิหารเทพีไอซิสเมื่อวานครับ
เทพที่ได้รับการสลักที่วิหารแห่งนี้ ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเทพรา-ฮอรัคตี (ที่เราพบเหนือประตูทางเข้า)
และเทพอะมุน เทพอุปถัมภ์แห่งเมืองลักซอร์
เทพอะมุน เป็นจอมเทพสูงสุดแห่งเมืองลักซอร์ ซึ่งในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั้น ลักซอร์เป็นเมืองหลวงของอียิปต์ หรืออีกชื่อที่คุ้นกันก็คือ “ธีบส์” (Thebes) ครับ
ลักษณะของเทพอะมุนนั้น จะสมมวงกุฏขนนกคู่ นอกจากนั้น พระองค์ยังปรากฏบนภาพสลักในรูปลักษณ์ “เทพผสม” เช่นผสมกับสุริยเทพ เป็น อะมุน-รา และผสมกับเทพมิน ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งพลังทางเพศ ดังรูปข้างล่าง ซึ่งจะสังเกตได้จากอวัยวะเพศที่ยื่นยาวครับ
ด้วยความที่เทพอะมุน-มิน เป็นสัญลักษณ์พลังทางเพศ จึงมีผู้คนผลัดกันมา “ลูบ” มากมาย แต่เนื่องจากที่อาบูซิมเบลคนเยอะ จึงไม่ค่อยมีคนทำอย่างประเจิดประเจ้อนัก แต่ถ้าไปที่ลักซอร์นี่ อื้อหือออ…อวัยวะนั้นได้รับการขัดเงาอย่างดีเลยครับ ภาพสลักในวิหารยังมีเทพอีกหลายองค์ครับ ไม่ว่าจะเป็นเทพทอธ เศียรนกกระสา
หรือเทพีเซ็คเม็ตเศียรสิงโตตัวเมีย
ส่วนไฮไลต์สุดสำคัญของวิหารหลักนี้ ต้องยอมรับว่า ผมพลาดไปครับ ไม่สามารถเบียดเสียดผู้คนเข้าไปได้จริงๆ จึงขอนำรูปจากหนังสือมาให้ชมแทน
เทวรูปทั้ง 4 องค์เรียงจากซ้ายไปขวา ได้แก่ เทพพทาห์ (นายช่างใหญ่ที่เราพบที่เมมฟิส), เทพอะมุน-รา, ฟาโรห์รามเสสที่ 2 และเทพรา-ฮอรัคตี
จากรูปนี้เป็นปรากฏการณ์ชื่อดัง Solar phenomenon หรือ Miracle of Sun ซึ่งจะเกิดแค่ปีละ 2 ครั้งเท่านั้น โดยแสงจากดวงอาทิตย์จะส่องเข้ามาภายในสุดของวิหารที่มีเทวรูป 4 องค์นี้ประทับอยู่ แต่… แสงไม่เคยตกกระทบเทวรูปองค์ซ้ายสุด หรือเทพพทาห์เลย เนื่องด้วยนอกจากเทพพทาห์จะเป็นเทพนายช่างแล้ว ยังเป็นเทพแห่งความมืดอีกด้วย !!!
มหัศจรรย์จริงๆเลยนะครับ ไม่รู้ว่าการก่อสร้างต้องอาศัยการสังเกตขนาดไหน จึงประมาณองศาของแสงที่ส่องเข้ามาได้อย่างแม่นยำขนาดนี้
ใช่แล้วครับ วิหารอาบูซิมเบลมี 2 วิหารด้วยกัน วิหารหลักคือที่เราได้เข้าชมไปแล้ว ส่วนอีกวิหารหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันนัก คือวิหารเทพีฮาเธอร์ (Hathor temple) ซึ่งที่แห่งนี้แหละเป็นพยานรักระหว่างฟาโรห์รามเสสที่ 2 กับพระนางเนเฟอร์ตารี

ที่รูปปั้นหน้าวิหาร เราจะได้เห็นรูปปั้นพระนางเนเฟอร์ตารี อยู่ในท่ายืน เคียงข้างฟาโรห์รามเสสที่ 2
ละจะยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ในอนาคต ราวกับต้องการบอกว่า
“ตราบดินสิ้นกาล เจ้ายังคงเป็นยอดดวงใจของข้า”
อู้วหูววว ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าการมาเที่ยวอียิปต์จะได้อารมณ์แบบนี้ด้วย โรแมนติคซะจริง






เล่ามาจนจบก็ลืมไปเลยว่า วิหารแห่งนี้ไม่ได้ชื่อ “อาบูซิมเบล” มาตั้งแต่แรกนะครับ แต่ตั้งตามชื่อของเด็กท้องถิ่นคนหนึ่งที่เคยนำเที่ยววิหารนี้ และเป็นผู้ค้นพบส่วนหนึ่งของวิหารด้วย (วิหารแห่งนี้เคยถูกหลงลืม จนทรายทับถมทางเข้าไปเลย) ฟังไปแล้วก็รู้สึกคล้ายๆความเป็นมาของปราสาท “ตาพรหม” ในเสียมเรียบจัง
แล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถกัน จบการเยี่ยมชมวิหารอาบูซิมเบลไปอย่างที่ต้องบอกว่า ถึงไกลแค่ไหนก็ต้องมาครับ คุ้มจริงๆ นอกจากได้สัมผัสความยิ่งใหญ่แล้ว เรื่องอารมณ์โรแมนติคที่ถูกแฝงอยู่ยังให้ความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย
หลังจากนั่งรถกลับไปอีกเกือบ 4 ชั่วโมง ก็ต้องต่อรถไฟไปลักซอร์ละครับ ออกเร็วถึงเร็ว เผื่อได้ลุ้นทุนเวลาไปวิหารลักซอร์ตอนกลางคืน


หากเห็นว่าข้อมูลดี มีประโยชน์ ช่วยกด like แฟนเพจเฟซบุ๊คเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ
Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว
หรือตามลิงค์ไปได้เลยครับ
First of all I would like to say wonderful blog!
I had a quick question which I’d like to ask
if you do not mind. I was interested to find out how you center yourself and clear your thoughts
before writing. I’ve had trouble clearing my mind in getting my ideas out there.
I truly do take pleasure in writing but it just seems like the first 10 to 15 minutes tend to be lost simply just trying to figure out how to begin. Any ideas
or hints? Thank you!
I read –> I liked –> I loved –> I selected which I love –> I traveled with passion –> It’s easy to write.
It’s just a passion.
Thanks ^_^