สำหรับทริปนี้เป็นทริปต่อเนื่องจากอียิปต์ เราจะไปประเทศจอร์แดน

โดยมีจุดหมายหลักคือการไป “เพตรา” เมืองมรดกโลกชื่อดัง

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักเพตรา ขอเกริ่นนำคร่าวๆก่อนว่า นี่คือ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่เมื่อราว 2000 ปีก่อน ชาวเมืองอาศัยทำเลที่เหมาะสม สร้างอาชีพรับจ้างคุ้มครองความปลอดภัยของเหล่าคาราวานสินค้าที่จำเป็นต้องเดินทางผ่านแถบนี้จนมั่งคั่ง ร่ำรวยขึ้นมา

แต่นั่นไม่ได้น่าสนใจเท่า “การสร้างเมือง” โดยการสลักเข้าไปในหน้าผาที่ระดับความสูงแตกต่างกันหลายจุด อีกทั้งวิหารหรือสุสานที่สลักเข้าไปนั้นยังมีความสูงกว่า 40 เมตร!!! และแน่นอนอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะเพิ่มเสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวคือ “การสูญหาย” ครับ

เมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้สูญหายไปกว่า 1000 ปี!!
น่าแปลกที่มีเพียงชนเผ่าเร่ร่อนเท่านั้นที่รู้ว่า
ความมหัศจรรย์ของอดีตกาลได้ซ่อนตัวอยู่ในซอกเขาบนแผ่นดินอันแห้งแล้งแห่งนี้มาอย่างยาวนาน
รอวันที่จะอวดโฉมความยิ่งใหญ่ต่อสายตาชาวโลกอย่างเรา
และทริปนี้เราจะไปชื่นชมความยิ่งใหญ่ที่หลับใหลนั้นกันครับ

“Rose red city: เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ”

แผนการเที่ยวในทริปนี้เป็นดังนี้ครับ เราจะเที่ยวเหนือจรดใต้ โดยไปเพตราในวันที่ 2 ของทริป ส่วนรายการอื่นในทริปนั้นขอบอกว่าเด็ดไม่แพ้เป้าหมายหลักเลยทีเดียว

เนื่องจากต้องเดินทางเหนือจรดใต้ เราจึงเลือกเช่ารถขับเอง โดยมีเส้นทางตามรูป Amman –> Madaba –> Dead sea –> Petra –> Wadi Rum –> Jerash –> Amman

สำหรับทริปนี้เราไปกัน 2 ประเทศ อียิปต์ & จอร์แดน โดยเดินทางมาจากอียิปต์ครับ

สำหรับเที่ยวอียิปต์ สามารถอ่านได้ที่ลิงค์: https://www.travelxdentist.com/egypt01/

ก่อนอื่นขอแนะนำข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน จากประสบการณ์ที่ได้รับนะครับ

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: การขอวีซ่า

– การขอวีซ่าจอร์แดนสามารถทำได้โดยการขอ visa on arrival เมื่อไปถึงสนามบินครับ ราคา 40 JOD (Jordanian dinars) หรือประมาณ 2000 บาท
– อีกวิธีเป็นการซื้อ Jordan pass เป็นพาสที่รวมค่าวีซ่า และค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆกว่า 40 แห่งในจอร์แดน ราคาแบ่งเป็น 3 ประเภทครับ

  • Jordan wanderer: 70 JOD ได้วีซ่า + เที่ยวเพตรา 1 วัน
  • Jordan explorer: 75 JOD ได้วีซ่า + เที่ยวเพตรา 2 วัน
  • Jordan expert: 80 JOD ได้วีซ่า + เที่ยวเพตรา 3 วัน

จะเห็นได้ว่า การซื้อ Jordan pass ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก แต่มีเงื่อนไขต้องอยู่เที่ยวที่จอร์แดนอย่างน้อย 3 คืน

สามารถซื้อ Jordan pass ล่วงหน้าได้ทางออนไลน์ เช่นเว็บไซต์: https://www.jordanpass.jo/contents/Prices.aspx

สำหรับใครอยู่ไม่ถึง เช่นกรุ๊ปของเรานั้น ก็ไปทำ visa on arrival ที่สนามบิน *โดยไม่ต้องเตรียมรูปถ่ายไป ไปถ่ายที่นั่นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: สถานการณ์ความปลอดภัย

แม้จะอยู่ติดกับซีเรียซึ่งมีการก่อการร้ายเป็นประจำ แต่จอร์แดนเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยกว่ามาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงคนท้องถิ่นยังให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีครับ

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: ฤดูกาลและเวลา

จอร์แดนมีช่วงฤดูร้อนที่ยาวนาน (แต่อุณหภูมิไม่สูงนัก) ส่วนฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และที่สำคัญ ความชื้นน้อยมากครับ

ข้อมูลจาก: https://www.select.jo/jordan-climate/

ส่วนเวลาในประเทศจอร์แดนช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง (GMT+2)

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: ค่าเงินและค่าครองชีพ

จอร์แดนใช้สกุลเงิน Jordanian dinar (JOD) ค่าเงินนี้จัดเป็นหนึ่งในค่าเงินที่แพงที่สุดในโลกอีกด้วย โดย 1 JOD เท่ากับประมาณ 50 บาท อาหารการกินและบริการต่างๆจัดว่าแพงกว่าเพื่อนบ้านที่เราไปก่อนหน้านี้อย่างอียิปต์มากทีเดียว

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: ศาสนา วัฒนธรรม การแต่งกาย อาหารการกิน

  • ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการบริโภคเนื้อหมูนะครับ การแต่งกายของผู้หญิงค่อนข้างมิดชิด แต่สำหรับนักท่องเที่ยวหญิงค่อนข้างอิสระมากกว่าอียิปต์
  • อาหารจัดว่ามีความพิถีพิถันมากกว่าอียิปต์พอสมควร
  • เช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นประเทศมุสลิม จึงต้องระวังการเดินทางในช่วงเดือนรอมฏอน หรือช่วงที่มีการถือศีลอดให้ดี

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: การเดินทางจากประเทศไทย

สายการบินตะวันออกกลางหลายสายเปิดเส้นทาง กรุงเทพฯ-อัมมาน สามารถหาตั๋วในราคาประมาณ +/- 20000 บาท ส่วนทริปนี้กรุ๊ปเราไปทั้งอียิปต์และจอร์แดนครับ

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: การเดินทางภายในประเทศจอร์แดน

สามารถเดินทางได้ด้วยรถบัส เหมาแท็กซี่ ส่วนทริปนี้กรุ๊ปเราเลือกเช่ารถขับเอง เพื่อความสะดวกสบายจากการที่ต้องไปหลายเมือง
ขอเล่าประสบการณ์เลยแล้วกันครับ จอร์แดนขับรถเลนขวา (พวงมาลัยซ้าย) ซึ่งตรงข้ามกับประเทศไทย ผู้คนที่นั่นขับรถได้มีวินัยค่อนข้างมาก เสียงแตรตามถนนก็น้อย ต่างกับที่อียิปต์ลิบลับ อีกทั้งเมื่อรถมีปัญหา (รถคันหนึ่งที่เช่าเสียระหว่างทางบนเขาช่วงหัวค่ำ มีชาวบ้านมาช่วยกันหลายคน เมื่อซ่อมไม่ได้ ชาวบ้านได้เสนอว่าให้ไปนอนพักที่บ้านเขาได้เลย และวันรุ่งขึ้นจะโทรแจ้งบริษัทรถเอารถมาเปลี่ยนให้ด้วย นับเป็นประสบการณ์ดีๆจากทริปนี้เลยครับ)

Tips: หากจะเช่ารถขับเอง อย่าลืมทำใบขับขี่สากลจากประเทศไทยไปก่อนนะครับ มีอายุการใช้งาน 1 ปี ค่าธรรมเนียม 500 บาท

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: internet sim card

มีผู้ให้บริการหลายค่าย เราเลือกค่าย orange ที่แม้ว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย แต่ได้ packages ราคาดี ซึ่งจากการใช้งานตลอด 3 วัน พบว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แม้จะอยู่กลางทะเลทรายใน Wadi Rum ก็ยังมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตครับ
*สามารถเช็ค packages ต่างๆ ได้จากเว็บไซต์: https://www.finder.com/best-prepaid-sim-card-jordan

ข้อควรรู้ก่อนไปจอร์แดน: เล่ห์เหลี่ยมของเจ้าถื่น

สำหรับหัวข้อนี้ใส่มาให้เหมือนอียิปต์ครับ แต่ตลอดทริปไม่พบการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวเลย เจ้าถิ่นให้การต้อนรับเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่รัฐ

Day 1

เริ่มจากลงสนามบิน Queen Alia ในกรุงอัมมาน ขาเข้านี่ผ่าน immigration ง่ายมากครับ ทำ visa on arrival ก็ใช้เวลาไม่นาน ออกมาซื้อ internet sim card ก็รวดเร็ว แต่ปัญหาได้เกิดตอนไปรับรถ

บริษัทที่จองไว้แจ้งว่าไม่มีรถ และส่งได้อีเมลมาให้เพื่อนในกลุ่มที่เป็นคนจองแล้ว แต่เพื่อนไม่ได้รับอีเมลฉบับนั้น แต่ไม่เป็นไรครับ พนักงานได้เดินหาของบริษัทอื่นให้ ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลานานพอสมควร ต้องรอบริษัทใหม่นำรถมา ทำให้แผนการเที่ยวต้องตัดออก 1 รายการ นั่นก็คือ Amman citadel
ขับพวงมาลัยซ้ายครั้งแรกก็แปลกๆอยู่เหมือนกัน อาศัยว่าผู้คนที่นี่ขับรถมีวินัย จึงทำให้เราขับไม่ลำบาก สักพักก็คุ้นครับ
และที่แรกที่เราไปก็คือ โบสถ์ Saint George church ที่ Madaba ที่อยู่ห่างจากสนามบินโดยการขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นครับ

Saint George church

Saint George church เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ นิกายออโธด็อกซ์ มีชื่อเสียงเรื่องภาพ Mosaic (งานศิลปะที่ตกแต่งด้วยกระเบื้อง หิน หรือชิ้นแก้วเล็กๆ)

สมบัติชิ้นสำคัญคือ แผนที่มาดาบา (Madaba map) ซึ่งเป็นภาพ Mosaic ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 หรือประมาณ 1500 ปีมาแล้ว แผนที่แสดงพื้นที่บริเวณตะวันออกกลาง (เอเชียตะวันตกเฉียงใต้) รวมถึงดินแดนศักสิทธิ์ตามความเชื่อ ซึ่งก็คือนครเยรูซาเล็มนั่นเอง (Jerusalem)

อ่านดูแล้วก็มึนเหมือนกันนะครับ ตัวอักษรติดๆกัน อ่านไม่ออกด้วย ฮ่าๆ

ของที่ระลึกก็เป็นพวกภาพ mosaic เช่นกัน แต่ไม่ถูกใจกรุ๊ปเราเท่าไร ไม่มีใครซื้อมาครับ

Mount Nebo

ขับรถออกจากโบสถ์ราว 15 นาที ก็ถึงสถานที่ถัดไป ภูเขาเนโบ (Mount Nebo) ดินแดนศักสิทธิ์ ที่เราจะไปตามรอยโมเสส (Moses) ผู้แหวกทะเลนั่นเองครับ

เชื่อว่าตอนเด็กๆ ใครหลายคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับผม
คงได้เคยดู Prince of Egypt ที่กล่าวถึง โมเสส เจ้าชายอียิปต์ (ตามชื่อเรื่อง)
ที่แท้จริงแล้วเป็นชาวยิว ได้รับบัญชาจากพระเจ้า
ให้นำทาสชาวยิวในอียิปต์ หลบหนีไปยังดินแดนคานาอัน (พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในอิสราเอล)

ในขณะที่โมเสสนำทาสชาวยิวหนีมาถึงทะเลแดง กองทัพอียิปต์ก็ตามมาทัน หมายมั่นจะนำเหล่าทาสกลับไป
แต่พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้น ทำให้น้ำในทะเลแดงแหวกออก ทาสชาวยิวจึงเดินผ่านทะเลไปได้
แต่เมื่อกองทัพอียิปต์ลงไปตามทะเลแหวกบ้าง ทะเลกลับพัดกองทัพอียิปต์ล้มตายไปจนสิ้น

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจสงสัยว่า แล้วภูเขาแห่งนี้ ไปเกี่ยวอะไรกับทะเลแดงที่โมเสสแหวกด้วยใช่มั้ยครับ?

หลังจากแหวกทะเลมาแล้ว บรรดาทาสชาวยิวได้ไปถึงดินแดนคานาอันดังหวัง
แต่ตัวโมเสสนั้นเสียชีวิตก่อนถึงปลายทาง

สถานที่เสียชีวิต คือ ภูเขาเนโบนี้เอง
(ขณะนั้นโมเสสอายุราว 80 ปีแล้ว ไม่ได้หนุ่มแน่นเหมือนใน Prince of Egypt)

ดังนั้นภูเขาแห่งนี้จึงเป็นอนุสรณ์สถานแห่งการรำลึกถึงโมเสส
และยังถือเป็นดินแดนศักสิทธิ์อีกด้วยครับ

บนเขาแห่งนี้ยังมีโบสถ์ที่สร้างเพื่ออุทิศแด่โมเสสอีกด้วย

จุดยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคือไม้กางเขน Brazen serpent ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นภายหลังโดยศิลปินชาวอิตาเลียน ความหมายของไม้กางเขน Brazen serpent นี้มีคำอธิบายอยู่ว่า

“Just as Moses lifted up the serpent in the desert,
the son of man must be lifted up.

So that everyone who believes in him may have eternal life. ”

*ความหมายนั้น ผมไม่แน่ใจนะครับ ได้ลองค้นหาข้อมูลแล้ว พอจะสรุปได้ตามนี้ หากผิดพลาดประการใด ขออภัยอย่างสูงนะครับ*
หมายถึง เมื่อโมเสสยกไม้กางเขนนี้ขึ้น ก็เปรียบเสมือนพระเยซูได้ถูกตรึงกางเขน ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระเยซูก็จะมีชีวิตนิรันดร์

ขยายความหน่อยครับ ตามความเชื่อนั้น ซาตานเป็นตัวแทนของบาป ซึ่งแสดงออกเป็น serpent ได้กัดกินมนุษย์ทุกคน และทำให้ทุกคนมีพิษของบาป ซึ่งผลที่ตามมาจากการมีบาปคือ “ความตาย” ส่วนพระเยซู (son of man หรือบุตรมนุษย์) นั้น เป็นผู้ที่จะเยียวยารักษาพิษของบาปนั้น
พระเจ้าจะให้อภัยต่อบาปของมนุษย์ ผ่านทางการตรึงกางเขนของพระเยซู ซึ่งผู้เดียวที่จะช่วยมนุษย์ผู้มีบาปได้

ดังนั้นจึงต้องมีการตรึงกางเขน (must be lifted up) พระเยซู เพื่อเยียวยารักษา เพื่อผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ (ได้รับการล้างบาป)
ที่ต้องเป็นแบบนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ว่าสามารถคืนชีวิตได้ เนื่องความตายของพระเยซูไมได้จบเพียงความตายที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน (death) แต่ยังมีทั้งการเก็บพระศพ (burial) และการฟื้นคืนพระชนม์ (resurrection) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ ดังนั้นผู้ที่เชื่อเรื่องความตายนี้จึงเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และจะมีชีวิตนิรันดร์

ภายในโบสถ์ประกอบไปด้วยศิลปะ mosaic ที่สวยงามอีกมากมายเลยครับ

ภายนอกโบสถ์ยังมีอนุสรณ์สถานอีกหลายแห่ง ซึ่งสร้างขึ้นในภายหลัง เช่นรูปปั้นนี้ สร้างขึ้นตอนสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จเยือน

Dead sea

ลงจากภูเขา mount Nebo เพื่อไปเดดซี ใช้เวลาราว 45 นาทีครับ เป็นการขับรถลงเขา เส้นทางคดเคี้ยว

สำหรับการลงเล่นเดดซีที่จอร์แดนนั้นแตกต่างกับทางฝั่งอิสราเอลครับ เพราะรัฐบาลไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงเล่นได้อย่างอิสระ ต้องเล่นผ่านทางรีสอร์ทต่างๆที่จัดไว้ให้เท่านั้น โดยเราได้ไป Amman beach ครับ
ค่าลงเล่นเดดซีนับว่าแพงเอาเรื่อง อยู่ที่ 20 JOD หรือประมาณ 1000 บาท

เดดซี (Dead sea) หรือทะเลแห่งความตาย ทะเลสาบมรณะ ไม่ใช่ทะเลที่ลงไปแล้วจะตายนะครับ ตรงกันข้ามเราไม่มีทางจมน้ำที่ทะเลสาบที่ตั้งอยู่ต่ำที่สุดแห่งนี้อย่างแน่นอน
เนื่องจากความเข้มข้นของเกลือในทะเลสาบแห่งนี้สูงมาก มากที่สุดในโลกทำให้ความหนาแน่นของน้ำมากเป็นพิเศษ ทำให้ตัวเราลอยได้โดยไม่จมครับ

ความเค็มขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ จึงเป็นที่มาของชื่อ Dead sea นั่นเองครับ
เกลือที่เกาะตามชายฝั่ง

นอกจากเรื่องของเกลือแล้ว โคลนในทะเลสาบแห่งนี้ยังขึ้นชื่ออีกด้วย เนื่องจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมพอกโคลนที่เดดซีกัน โดยพอก 15 นาทีแล้วล้างออก ผลที่ได้คือ ผิวนุ่มลื่นสุดๆ

สำหรับใครที่ติดใจ ในร้านขายของที่ระลึกก็มีโคลนขายด้วยนะครับ ราคาก็ไม่ได้แพงจนเกินไปนัก

เที่ยวเดดซีได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ต้องออกแล้วครับ แม้จะสนุกสนานกับการลอยตัว แต่การแช่น้ำเกลือที่เค็มขนาดนี้นานเกินไปไม่ใช่เรื่องดี อีกทั้งหากน้ำทะเลเข้าตาแม้เพียงหยดเดียว ก็ทำให้แสบตามากเลยครับ

สำหรับทัศนียภาพยามอาทิตย์อัสดงที่เดดซี ต้องบอกว่าให้อารมณ์อ้างว้าง ชวนหดหู่เหลือเกิน สมกับชื่อทะเลสาบมรณะ ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลยครับ

ออกจากเดดซี รถทั้ง 2 คันกับคนทั้ง 8 คน ก็มุ่งหน้าสู่เพตรา โดยเราจะไปนอนกันที่โรงแรมใกล้เพตรา เพื่อที่ว่า รุ่งเช้าจะได้เดินเที่ยวเมืองมรดกโลกเลยครับ

สำหรับระยะทางจาก Amman beach ไปโรงแรมใกล้เพตรานั้น คือ 232 กิโลเมตร บนเส้นทางคดเคี้ยว ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง ครับ

กว่าจะถึงโรงแรมก็ราว 3 ทุ่มแล้ว มานึกย้อนดู เราก็ช่างกล้ากันจริง ขับรถบนเขามืดๆ ไม่ค่อยมีไฟถนน อีกทั้งไฟสูงของรถยังเสียอีกด้วย ทำไปได้ยังไง

ขอบคุณรูปสวยๆจากปอ

คืนนี้พักที่โรงแรม La Maison ครับ อยู่ใกล้ทางเข้าเพตราไม่มากนัก ให้บริการดี อาหารก็อร่อย ห้องพักสะอาด และอยู่ไม่ไกลจากเพตราอีกด้วย

👉 ทางไปจอง https://bit.ly/3qhNm0J

Day 2

Petra

ตื่นแต่เช้า รับประทานอาหารโรงแรม รสชาติถูกปากทีเดียว แล้วก็เดินไปเพตราครับ
ทุกคนที่จะเข้าเที่ยวเพตราต้องผ่าน visitor center โดยค่าเข้าชมสำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อ Jordan pass มาอยู่ที่

  • 50 JOD สำหรับเที่ยว 1 วัน
  • 55 JOD สำหรับเที่ยว 2 วัน
  • 60 JOD สำหรับเที่ยว 3 วัน

ที่ต้องมีตั๋วแบบหลายวันเพราะอาณาเขตเพตรากว้างมาก อาจไม่สามารถเที่ยวได้ทั้งหมดภายในวันเดียวนั่นเอง

ในเพตรามีสถานที่น่าสนใจหลายจุด แต่ละจุดอาจไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่ไม่เป็นไรเพราะที่ visitor center แจกแผนที่เพื่อเป็นตัวช่วยให้นักท่องเที่ยว โดยแบ่งแต่ละเส้นทางเป็น trail แต่ละ trail มีระยะทาง และระดับความยากกำกับอยู่

ด้านล่างเป็นรูปแผนที่ ที่มีภาพกำกับ เป็นข้อมูลให้เราเลือกว่าสนใจไปที่ใด โดย Main trail (เส้นสีแดง) เป็นเส้นทางการเดินหลัก ระยะทางแบบ ไป-กลับ 8 กิโลเมตร ใช้เวลา 3.5 – 4 ชั่วโมง

เห็นแบบนี้แล้วก็อย่าเพิ่งท้อนะครับ เพราะ นอกจากการเดินแล้ว ยังมีม้า และลา (รถเข้าได้ในพื้นที่จำกัด) บริการอยู่ตลอดเส้นทาง หากเหนื่อยก็เรียกใช้บริการได้เลย ส่วนทีเด็ดที่เรียกว่าเป็น landmark ที่ใครมาเพตราก็ต้องมาถ่ายรูปด้วยอยู่ที่ตำแหน่งหมายเลข 4 หรือ The treasury ซึ่งตั้งอยู่เพียงครึ่งทางของ main trail เองครับ

ส่วนที่ปลายสุดของแผนที่ คือ Ad-Deir ถือเป็นไฮไลต์รองซึ่งความยากอยู่ระดับ hard เนื่องจากต้องเดินขึ้นเขา หากสู้ไหวก็อยากให้ไปนะครับ เพราะไปถึงแล้ว สิ่งที่ได้เห็นทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว

และแน่นอน เที่ยวค่อนข้างสมบุกสมบันแบบนี้ ทริปนี้ รวมถึงอีกหลายๆทริป เราใช้รองเท้าของ Columbia sport wears ด้วยเทคโนโลยี Omni-grip พื้นรองเท้าที่เหมาะกับสภาพพื้นผิว น้ำหนักเบา ไม่เมื่อยเวลาเดิน กันน้ำได้ (แต่ถ้าน้ำมันสูงเกินขอบรองเท้ามันก็เข้าล่ะนะ 😂) ใช้ได้หลากหลายโอกาส ไม่ว่าจะเดินเที่ยวในเมือง เดินป่า ก็ไปกันได้ตลอดครับ รองเท้าสวยๆแบบนี้ มีโปรฯบ่อยๆด้วยที่ Columbia sport wears

สถานที่สำคัญแห่งแรก ที่เรียกได้ว่าเป็นประตูสู่เพตรา ก็คือ Bab Al Siq ถูกสร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 1

ผ่านประตูมาแล้วก็เข้าสู่ “ทางเดิน” ที่เรียกว่า The Siq หรือ Siqit เข้าสู่นครเพตรา
ทางเดินนี้มีลักษณะแบบแคนยอน (canyon) ซึ่งเกิดจากทั้งแรงน้ำกัดเซาะซอกเขา รวมกับน้ำมือมนุษย์ในการก่อสร้าง ทั้งสองสิ่งช่วยกันรังสรรค์ให้เกิดเส้นทางมหัศจรรย์

เรียกได้ว่า

ก่อนไปถึงดวงจันทร์ (เพตรา) เราจะอยู่ท่ามกลางดวงดาว (The siq)

เนื่องจากการทับถมของชั้นหินเป็นเวลานาน เราจึงหินเป็นชั้นๆ สวยงามอีกด้วย

เพลิดเพลินกับ The siq ไม่รู้เบื่อ รู้ตัวอีกทีก็ถึง The treasury (Al Khazna) จุดที่เป็น landmark ของเพตรา ที่ไม่ว่าใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่กันครับ

ความสูงของวิหารแกะสลักแห่งนี้อยู่ที่ราว 40 เมตร แหงนหน้ามองแล้วรู้สึกทึ่งในความสามารถของคนโบราณจังเลยครับ หัวเสาแกะสลักแบบศิลปะคอรินธ์ ละเอียดสวยงาม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเมืองซ่อนอยู่ในซอกเขาเช่นนี้ ทำให้เพตรามีสมญาอีกอยางว่า “city of mysteries” หรือนครเร้นลับอีกด้วยครับ

อย่างที่ได้เกริ่นไว้ว่า นครแห่งนี้สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อราว 2000 ปีก่อน หรือ ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล โดยชาวนาบาเชียน (Nabateans) เดิมทีนั้นชาวนาบาเชียนเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ทำอาชีพเลี้ยงสัตว์ แต่ได้เปลี่ยนอาชีพในภายหลัง

เนื่องจากเพตราอยู่ระหว่างเส้นทางการค้าสำคัญ อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำจืดที่สำคัญท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า Wadi Musa หรือ “หุบเขาแห่งโมเสส”

ปัจจัยดังกล่าวทำให้บรรดาคาราวานการค้าต้องเดินทางผ่านเพตรา เพตราจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ
และเนื่องจากในสมัยก่อนมีโจรขโมยชุกชุม คอยดักปล้นคาราวานสินค้า จึงเกิดอาชีพรับจ้างคุ้มครองความปลอดภัยขึ้น แน่นอนว่าชาวนาบาเชียนก็ยึดอาชีพนี้เช่นกัน และนั่นทำให้พวกเขายิ่งมั่งคั่งยิ่งขึ้น

สันนิษฐานว่า The treasury เป็นวิหารพระศพของกษัตริย์ อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ซึ่งปกครองในช่วงที่เพตราเจริญถึงขีดสุด

นอกจากเสาศิลปะโครินธ์แล้ว ยังมีการสลักรูปปั้นอีกหลายรูป ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย เช่น แอมะซอน (Amazon) ยอดนักรบหญิงในปกรณัมกรีกกำลังถือขวานคู่

ส่วนนกอินทรีทั้งสี่บนหลังคาวิหาร (หักไปแล้ว) ทำหน้าที่นำพาวิญญาณหลังความตาย

จุดที่เหมาะสมกับถ่ายรูปคู่กับ The treasury ให้เลี้ยวขวาแล้วไปหลบหลังซอกเขานะครับ ตรงนี้จะมีที่สูงให้ขึ้นไปยืนได้

อีกจุดคือการถ่ายคู่กับ The treasury จากมุมสูง ซึ่งต้องอาศัยการ “ปีน” ขึ้นไปครับ โดยต้องอาศัยไกด์ท้องถิ่น ที่พร้อมจะเข้ามาเสนอราคาให้เราได้ต่อรอง ครั้งนี้กรุ๊ปของเราได้ราคาคนละ 6 JOD ซึ่งการการสอบถามและหาข้อมูลมาบ้างแล้ว ราคาควรอยู่ที่ 6-12 JOD/คน นะครับ

การปีนขึ้นบนหน้าผานับว่าเส้นทางไม่ง่าย ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงนะครับ

ใช้เวลาปีนประมาณ 10-20 นาที ขึ้นกับว่าพักมากหรือน้อย ก็ถึงแล้ว

ข้างบนมีเต้นท์ของไกด์กางอยู่นะครับ ติดป้ายว่า “กรุณาซื้อสินค้า หากไม่ซื้อกรุณาจ่ายคนละ 1 JOD”
กรุ๊ปเราซื้อน้ำดื่มคนละขวดครับ ขวดละ 1 JOD

ขาลงใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นเล็กน้อย แต่ต้องระวังลื่นให้ดีนะครับ และระวังนักท่องเที่ยวที่สวนทางขึ้นมาด้วย
*มีคนอ้าขาจนกางเกงเป้าฉีกด้วย (ไม่ใช่ผมแต่อย่างใดนะครับ)

เดินออกจาก The treasury จะเริ่มพบร้านค้าข้างทาง สินค้าน่าสนใจคือ หอยแอมโมไนต์ ซึ่งเป็นฟอสซิลดึกดำบรรพ์ บางคนนำมาใช้เป็นเครื่องราง เชื่อว่าจะนำพาความร่ำรวย ราคาแตกต่างกันไปตามขนาด ส่วนจะเป็นของแท้หรือไม่นั้น ผมก็ไม่ทราบครับ

สถานที่นี้ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไร เห็นนักท่องเที่ยวเข้าออกหลายคน แต่เรามีเวลาจำกัด จึงไม่ได้แวะครับ

ตลอดเส้นทางเราจะพบเห็นการแกะสลักเข้าไปหน้าผาจำนวนมาก สมกับที่เคยเป็นเมืองหลวงจริงๆ

ด้านล่างเป็นภาพสุสานหลวง หรือ Royal tombs อันประกอบไปด้วย Urn tomb, Silk tomb, Corinthian tomb และ Palace tomb เรียงกัน

จากความรุ่งเรืองที่เคยถึงขีดสุดของเพตรา อาณาจักรก็ค่อยๆเสื่อมลงเนื่องจากเส้นทางการค้าที่เปลี่ยนไป จนในที่สุดจักรพรรดิไตรยานุส (Traianus) แห่งโรมันก็เข้ายึดครองเพตราได้สำเร็จ ดังนั้นเราจะได้เห็นสิ่งก่อสร้างรูปแบบโรมันที่เพตราด้วย เช่นที่ The Colonnaded street ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตลาด หรือแหล่งช็อปปิ้งแห่งนี้ครับ

อ้อ สำหรับใครอยากถ่ายรูปกับเจ้าหน้าที่ใส่ชุดโบราณนั้น ตรงจุดนี้ขอทิปนะครับ ส่วนที่ยืนอยู่ใน The Siq ไม่ได้ขอค่าทิปแต่อย่างใด

ใจกลางเมืองเพตรามีสถานที่เรียกว่า The great temple complex ซึ่งหากอยากได้รูปรวมต้องขึ้นไปถ่ายด้านบนนะครับ
วัดหรือ temple ที่สำคัญที่สุดในเพตราคือ Qasr al-Bint ซึ่งมีความสูงถึง 23 เมตร สร้างเพื่ออุทิศแด่เทพดูชาร่า (Dushara) ซึ่งเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวนาบาเชียนนับถือ

ต่อจากนี้จะเป็นทางขึ้นเขาไปสู่ Ad Deir ซึ่งใช้เวลามาก ท่ามกลางแดดจัด ทำเอาเหนื่อยมาก ระหว่างทางขึ้นไปมีน้ำดื่มขายตลอดนะครับ

ด้วยความที่ต้องทำเวลา ทำให้จำเป็นต้องเดินแบบแทบไม่หยุดเลย กว่าจะขึ้นมาถึงก็เหนื่อยเอาการ แต่สิ่งที่ได้เห็นนั้นคือความยิ่งใหญ่ที่ต้องบอกว่าเห็นด้วยกับชาวต่างชาติที่เดินสวนทางลงมาเลยครับ “more than happy” จริงๆ

Ad Deir มีอีกชื่อว่า Monastery เป็นอีกหนึ่งอนุสรณ์สถานสำคัญในเพตรา มีความสูงถึง 48 เมตร รูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบชาวนาบาเชียนแท้ๆ (Nabatean classical style) ถือเป็นไฮไลต์อันดับสอง รองจาก The treasury เลยทีเดียว

ชื่นชม Ad Deir แล้วก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นการเยือนเพตราตามเป้าหมายในรอบนี้ครับ
ขากลับผ่าน The treasury อีกครั้ง เวลานี้แสงอาทิตย์ผ่านไปแล้ว จึงได้เห็นสีของ The treasury ออกน้ำตาลแดง สมกับฉายา Rose red city หรือ “นครศิลาสีกุหลาบ” จริงๆครับ

จบแล้วเพตรา แม้เป็นเวลาสั้นๆแค่ครึ่งวัน แต่การได้เห็นนครลึกลับ ที่เคยสูญหายจากไปจากสายตาชาวโลกก็คุ้มค่าจริงๆครับ

มื้อกลางใกล้เพตรารอบนี้ อร่อยมากเลยครับ เรียกได้ว่า หลังจากทานอาหารที่อียิปต์มา 7 วัน มาเจอรสชาติที่จอร์แดนนี่คนละเรื่องเลย

กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม ออกเดินทางไปทะเลทรายวาดิรัม กว่าจะถึงก็เย็นแล้ว คืนนี้เราจะนอนกลางทะเลทรายกันครับ

Wadi Rum

ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดน นอกจากชื่อ “หุบเขาพระจันทร์” หรือ Valley of Moon แล้ว หนึ่งในทะเลทรายที่สวยที่สุดในโลกแห่งนี้ ยังถูกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับดาวอังคารอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “The last days on Mars” หรือ “The martian”

ทะเลทรายวาดิรัม อยู่ในเขตหวงห้ามหรือ Protected area ซึ่งต้องผ่าน visitor center ก่อนจึงเข้าท่องเที่ยวได้

ที่พักแรมกลางทะเลทรายมี 2 ประเภทใหญ่ๆ

  • กระโจมแบบชาวเบดูอิน เพื่อบรรยากาศแบบชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย
  • โดม เพื่อบรรยากาศแบบดาวอังคาร สะดวกสบายกว่า แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงตาม

กรุ๊ปเราเลือกพักแบบโดมนะครับ ชื่อที่พัก Desert planet camp ซึ่งยามค่ำคืนก็สวยมากทีเดียว

ใครที่สนใจพักที่ desert planet camp ก็ตามลิงค์ไปได้เลยที่ https://bit.ly/3oecovK

ถ่ายรูปเล่นได้ไม่เท่าไร เจ้าของ/ผู้จัดการโรงแรม ก็มาตามไปทานข้าวครับ

ส่วนเจ้าของโรงแรมนั้น คุยสนุกมาก เจ้าตัวบอกว่าพูดได้ 6 ภาษา และความจำดีมากครับ

เจ้าตัวเคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว ท้าให้เราวาดรูปผลไม้ไทย แล้วจะตอบให้ได้ สรุปคือตอบถูกเกือบหมดซะด้วย

หลังทานข้าวเสร็จ ก็เข้านอนกันแล้วครับ เหน็ดเหนื่อยมากแล้ววันนี้

ใครที่สนใจพักที่ desert planet camp ก็ตามลิงค์ไปได้เลยที่ https://bit.ly/3oecovK

Day 3

ตื่นแต่เช้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จอร์แดนแล้วครับ คืนนี้ก็กลับกันแล้ว
เมื่อวานได้เห็นทะเลทรายวาดิรัมยามเย็นและค่ำคืนว่าสวยแล้ว ได้มาเห็นตอนพระอาทิตย์ขึ้นยิ่งสวยไปใหญ่ ทั้งยังได้บรรยากาศแบบดาวอังคารอีกด้วยครับ

ทบทวนแผนกันครับ วันนี้เราจะเดินทางไปเมืองจีราช ทางเหนือ ซึ่งไกลจาก วาดิรัม ทางใต้ ด้วยระยะทางราว 360 กิโลเมตร ขับรถเกือบ 5 ชั่วโมง (หมายเลข 5 ไป 6)

ขับรถไกลไม่ได้น่าเบื่อนะครับ วิวสวยตลอดทาง

Jerash

ถึงแล้วครับจีราช ค่าเข้าเที่ยวชมคนละ 10 JOD

เมืองจีราช (Jerash) เป็นอดีตเมืองหลวงที่เคยมีประชากรกว่า 50000 คน
ที่แม้จะเสียหายหนักจากแผ่นดินไหว และถูกหลงลืมไป
แต่ในวันนี้ Jerash เป็นหนึ่งในเมืองโรมันที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกที่ยังคงเหลืออยู่
ที่เราจะได้พบทั้ง น้ำพุกลางเมือง ตลาด โบสถ์ วิหาร และแม้แต่โรงละคร

เข้ามาก็ถึง Hadrian’s arch เลย เป็นซุ้มประตูที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเมื่อคราวจักรพรรดิเฮเดรียน (Hadrian) เสด็จ

ความสูงของซุ้มประตูในปัจจุบันอยู่ที่ราว 20 เมตร

Tips: อ้อ ลืมบอกไปว่า จุดตรวจตั๋วอยู่ไกลกับที่ขายตั๋วนะครับ ให้เก็บให้ดีเชียว ไม่งั้นได้เสียค่าตั๋วรอบสองแน่ๆ

อย่างที่บอกครับ ว่าแม้จะถูกแผ่นดินไหวถล่ม แต่เรายังเห็นร่อยรอยความเจริญของเมืองนี้อีกมากเลย

 

ส่วนนี้เรียกว่า Oval plaza หรือ Oval forum เป็นพื้นที่กว้าง ล้อมรอบด้วยเสาที่ทำให้พื้นที่ออกมาเป็นวงรี (Oval) เมื่อก่อนเป็นตลาด และทางเข้าเมืองครับ

เดินผ่าน Oval plaza จะเป็นถนนชื่อ The Cardo เต็มไปด้วยเสามากมายเช่นกัน

แมวเหมียวตัวนี้แอบตามเรามาสักพักแล้ว พอหันกลับไปเล่นด้วยก็ไม่ยอม เข้าไปหลบซะอย่างนั้น

ตรงนี้เป็นน้ำพุกลางเมือง “Nymphaeum” สร้างเพื่อถวายแด่นิมฟ์ ตัวแทนแห่งน้ำพุตามตำนานกรีกและโรมัน

ส่วนนี่เป็นทีเด็ดครับ “Moving column” เสาต้นนี้มีการเคลื่อนไหวโดยไม่ล้ม ทดสอบได้โดยการนำช้อนหรือส้อมไปสอดไว้ จะเห็นการขยับชัดเจน
** เนื่องจากผมโพสท์วิดิโอไม่เป็น ขอนำไปลิงค์นี้นะครับ (อยู่ในคอมเมนท์)
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2280213828669206&id=2152040694819854

อย่างที่ได้เกริ่นไว้ครับ ที่เมืองมีโรงละครด้วย Roman theater ทางทิศเหนือ หรือ North theater อยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก

ทางเข้า

ว่าแล้วก็อยากรู้สึกถึงมุมมองของนักแสดงบ้าง

เดินออกมาผ่าน Temple of Artemis วิหารที่อุทิศแด่เทพีอาร์เทมีส เทพีแห่งการล่าสัตว์ ฝาแฝดของเทพอะพอลโล ครับ

ก่อนขึ้นเครื่องขอไปเดินตลาดสักหน่อย ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมาก ขายของก็ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวเลย

อันนี้เป็นน้ำอ้อย อร่อยดีนะครับ ราคาไม่แพงด้วย ต้องบอกว่าอาหารที่จอร์แดนอร่อยกว่าอียิปต์มากเลย

สรุปค่าใช้จ่าย “ต่อคน” ไม่รวมค่าเครื่องบินและค่ากินนะครับ อ้อ เราไม่ได้ซื้อ Jordan pass จึงแพง หากซื้อก็จะถูกกว่านี้ครับ

หากเห็นว่าข้อมูลดี มีประโยชน์ ช่วยกด like แฟนเพจเฟซบุ๊คเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ
❤️

ชื่อเพจ
Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว
หรือตามลิงค์ไปได้เลยครับ

 

 

 

 

 

2 COMMENTS