“1 ปีแสง หมายถึง ระยะทางที่แสงเคลื่อนที่ในสุญญากาศได้ใน 1 ปี”
“ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว”
“หากเราสามารถเดินทางไปได้ไกลกว่า 65 ล้านปีแสง แล้วมองกลับมายังโลก เราจะยังคงเห็นไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่”
เพราะเมื่อเราอยู่ที่นั่น แสงจากโลกเมื่อกว่า 65 ล้านปีก่อนที่ไดโนเสาร์ยังมีชีวิตอยู่เพิ่งจะเดินทางไปถึง !!
และหากเราเดินทางไปได้ไกลกว่า 4600 ล้านปีแสง แล้วมองกลับมายังโลก เราจะเห็นการกำเนิดโลก !!
ฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหมครับ? แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า ที่เราจะเดินทางไปได้ไกลขนาดนั้น (เพราะแค่ 1 ปีแสง ก็เท่ากับประมาณ 9.4607×1012 กิโลเมตร แล้ว ฮ่าๆ 😅
*** แต่ๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ แม้เราจะเดินทางไกลขนาดนั้นไม่ได้
แต่วันนี้ เราจะไปสัมผัสประสบการณ์สุด Exclusive กับสถานที่ที่รวบรวม
ฟอสซิล (ซากดึกดำบรรพ์) และโครงกระดูกไดโนเสาร์ *สภาพสมบูรณ์สุดๆ*จากทั่วโลก
ที่จะทำให้เราได้ว้าวว ตลอดการท่องเที่ยว จนเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปหลายล้านปีก่อน
ราวกับเป็น “นักท่องเที่ยวกาลเวลา” หรือ “Time traveler” เลยทีเดียว 😲
และที่สำคัญ สถานที่แห่งนั้น อยู่ในประเทศไทยเรานี้เอง !? !? !?
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ ว่าเราจะได้ชมสิ่งเหล่านี้ “ของจริง” ในประเทศไทย
- โครงกระดูก T-rex สภาพสมบูรณ์
- โครงกระดูกแมมมอธตัวใหญ่ที่สุดในโลก
- พิพิธภัณฑ์ช้าง ที่รวบรวมช้างโบราณไว้มากที่สุด
- ไข่ไดโนเสาร์ในสภาพสุดสมบูรณ์
- ร่องรอยของ มนุษย์หิมะ “เยติ” เคยมีอยู่จริง?
- ไม้กลายเป็นหิน ศิลปะขนาดยักษ์จากธรรมชาติ
และอื่นๆอีกมากมาย (90% เป็นของจริง) ที่จะทำให้เราได้ทึ่ง ได้ว้าว ตลอดการย้อนเวลาในครั้งนี้ กับ “Time traveler” การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่อยู่ภายในสนามบินสุโขทัยนี้เองครับ
เอาล่ะ พร้อมแล้ว เราก็ไปย้อนเวลาแบบ Exclusive กันเลย !
***หมายเหตุ ผมขออนุญาตเล่าเรื่องไม่ให้เป็นเชิงวิชาการมากเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อ และเนื่องจากผมไม่ใช่ผู้มีความรู้เฉพาะสาขาด้านนี้ หากมีข้อมูลผิดพลาด ก็ขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยครับ
Museum 1: Origin of life museum (Dinosaur museum)
แว้บบบ….แค่เปิดประตูเข้ามาใจก็สั่นแล้วครับ (นี่กะไม่ให้ตั้งตัวกันเลยหรือไง?) เจ้านี่ก็คือ “สไปโนซอรัส (Spinosaurus)” จากเรื่อง “จูราสสิค ปาร์ค” ร่างสมบูรณ์ขนาดนี้ มาอยู่ต่อหน้าต่อตา ในประเทศไทย!
*ขอแก้ไขข้อมูลเพิ่มครับ: สไปโนซอรัสที่อยู่ที่โถงทางเข้าตัวนี้ เป็นตัว cast สร้างขึ้นมาใหม่นะครับ
เอาล่ะๆ หลังจากตั้งสติได้ ผ่านห้องนี้ไป เราจะเริ่มย้อนเวลากันจริงๆกันแล้วนะ ……….. ย้อนกลับไปเมื่อ 4600 ล้านปีก่อน……..
สิ่งมีชีวิต เกิดขึ้นในน้ำ
เมื่อ 4600 ล้านปีก่อน โลกได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมีเพียงพืช สัตว์ชั้นต่ำ และออกซิเจน
จนถึงยุคหนึ่งที่ชื่อว่า “แคมเบรียน (Cambrian) ” ที่บนแผ่นดินยังคงว่างเปล่า แต่ในทะเลกลับมีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้น ซึ่งก็คือ “ไทรโลไบต์ (Trilobites)” หรือแมงดาทะเลโบราณ ฟอสซิลที่ดังพอๆกับไดโนเสาร์นั่นเองครับ 😲
เป็นอย่างไรบ้างครับ? ของที่วางอยู่ตรงหน้าเรา เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 541-485 ล้านปีที่แล้วเชียวนะ ! ซึ่งความพิเศษของมัน คือการที่เป็นกลุ่มฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยทีเดียวล่ะครับ (แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำมาก่อนหน้านั้น แต่แทบไม่มีหลักฐานฟอสซิลเลย)
ต้องบอกว่า สัตว์ในกลุ่มหอยและปลาหมึก ปลาดาว แมลง และสัตว์มีกระดูกสันหลังเนี่ย สามารถเปลี่ยนแร่ธาตุเป็นเปลือก เกราะ แกน หรือกระดูกแข็ง เอาไว้ค้ำยันร่างกายได้ ซากของพวกมันจึงหลงเหลือเป็นฟอสซิลมาให้เราเห็นมากมายนั่นเองครับ
จากนั้นก็เริ่มมีปลา โดยปลาในยุคแรกๆยังไม่มีขากรรไกรนะ หน้าตาก็จะประหลาดๆ แบบนี้
แล้วต่อมาก็มีปลาที่พัฒนากระดูกขากรรไกรขึ้นมา เช่นเจ้า ดังเคลออสเทียอุส (พลาโคเดิร์ม) ปลาเกราะขนาด 8 เมตรที่ดุร้าย แห่งท้องทะเลตัวนี้ ที่เห็นเหมือนฟันน่ะ ยังไม่ใช่ฟันที่แท้จริงนะ แต่เป็นกระดูกที่มีรอยหยักต่างหากเล่า 😱
สัตว์มีกระดูกสันหลังขึ้นบก (บุกเบิกแผ่นดิน)
ช่วง 375 ล้านปีก่อน ปลาบางกลุ่มหนีการแย่งอาหาร และการถูกล่าในน้ำ ขึ้นมาบนบกโดยการเปลี่ยนครีบเป็นขา เปลี่ยนมาหายใจด้วยปอด แต่ยังต้องกลับไปวางไข่ในน้ำ จึงกลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แล้ววิวัฒนาการเกล็ดหุ้มผิวหนัง วางไข่ที่มีเปลือกแข็ง เป็นสัตว์เลื้อยคลานในที่สุด ในรูปเป็นฟอสซิลพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน
จะสังเกตได้ว่า สัตว์ดึกดำบรรพ์หลายชนิดมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก เช่นแมลงปอเมื่อ 300 ล้านปีก่อน มีความยาวของปีกสองข้างรวมกันได้ถึง 29 นิ้ว! ช่างแตกต่างกับแมลงปอในยุคปัจจุบัน นั่นเป็นเพราะว่า สมัยก่อนมีออกซิเจนหนาแน่น สัตว์ดึกดำบรรพ์จึงมีแหล่งออกซิเจนไว้ใช้ในกระบวนการหายใจได้มาก จึงสามารถมีขนาดที่ใหญ่ได้นั่นเองครับ
แต่ต่อมาก็เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของเหล่าสิ่งมีชีวิตในยุคนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและทะเลล้มหายตายจากไปมากมาย
แต่นั่นก็เป็นการเริ่มต้นของยุคที่น่าตื่นเต้น ที่เรารอคอย ในการท่องเที่ยวย้อนเวลาในครั้งนี้ครับ! ยุคของสัตว์ยักษ์ผู้โด่งดังจากเรื่องจูราสสิค ปาร์ค หรือ ยุคของไดโนเสาร์นั่นเอง!
ยุคของไดโนเสาร์!!!
หลังจากย้อนเวลาไปไกลถึงกำเนิดสิ่งมีชีวิต ก็ได้เวลาเข้าสู่ยุคที่เรารอคอยมากที่สุด และน่าตื่นเต้นมากที่สุด นั่นก็คือ “ยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลก” นั่นเอง! วู้วววว
ห้องนี้อลังการมากครับ อยากใช้เวลาแช่อยู่นานๆเลย การได้ถ่ายรูปคู่กับโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่เราเคยเห็นในเรื่อง จูราสสิค ปาร์ค ในวัยเด็ก เหมือนเป็นการเติมเต็มความฝันเลยครับ 😍🥰😘
สำหรับยุคที่ไดโนเสาร์เคยมีชีวิตอยู่ มีทั้งหมด 3 ยุค ได้แก่ ไตรแอสสิค (Triassic), จูราสสิค (Jurassic) และ ครีเตเชียส (Cretaceous) ซึ่งยุคที่ได้ชื่อว่า “ไดโนเสาร์ครองโลก” ก็คือ ยุคจูราสสิค หรือเมื่อ 205-144 ล้านปีก่อน นั่นเองครับ
เริ่มจากหนึ่งตัวเด่นจากเรื่องจูราสสิค ปาร์ค “ไทรเซราทอปส์ (Triceratops) ” ไดโนเสาร์ปากนกแก้วกินพืช
ด้วยขนาดมหึมา หนักได้ถึง 6000-8000 กิโลกรัม! และยาวได้ถึง 6-10 เมตร และที่สำคัญคือ 3 เขาแหลมเฟี้ยวสุดเท่ ที่ใช้สู้กับกับ ไทแรนโนซอรัส ในภาพยนตร์ ทำให้มันเป็นขวัญใจใครหลายๆคนเลยทีเดียวครับ
และนี่ก็คือออ…..วายร้ายขวัญใจมหาชนจากเรื่องจูราสสิค ปาร์ค “ไทแรนโนซอรัส-เร็กซ์ (Tyrannosaurus-rex)” หรือเจ้า “ที-เร็กซ์” นั่นเองครับ
อยากเจอมานานแล้ววว 😁 เท่สุดดดด สภาพสมบูรณ์สุดๆ ว้าววววว
ที-เร็กซ์ เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ (และอาจกินซาก) ขนาดใหญ่ด้วยความยาว 12-13 เมตร สูง 4-6 เมตร และอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ขอย้ำครับว่า นี่เรากำลังเห็นมันในประเทศไทย!
กระโหลกใหญ่มาก เขี้ยวก็แหลม ขากรรไกรคงทรงพลังน่าดู
ใหญ่แค่ไหน ก็ดูกันเองเลยครับ งาบทีคงหายไปครึ่งตัว 😅
**แม้เจ้าไทรเซราทอปส์ และที-เร็กซ์ จะอยู่ในเรื่องจูราสสิค ปาร์ค ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ไดโนเสาร์ครองโลก แต่ความจริงแล้ว พวกมันมีชีวิตอยู่ในยุคครีเตเชียส
ส่วนตัวนี้คือ “ไฮปาโครซอรัส (Hypacrosaurus)” ไดโนเสาร์ปากเป็ด อีกหนึ่งไดโนเสาร์กินพืชที่สภาพสมบูรณ์สุดๆเช่นกัน มีชื่อเสียงเรื่องการค้นพบฟอสซิลไข่ และรังที่สมบูรณ์ของมันครับ
มาดู “ไข่ไดโนเสาร์” กันบ้าง หลายๆคนคงจินตนาการไว้ใช่ไหมครับว่า ในเมื่อไดโนเสาร์มันตัวใหญ่ขนาดนั้น ไข่มันต้องมีขนาดใหญ่มากแน่ๆ แต่ผิดถนัดเลยครับ แม้แต่ไข่ไดโนเสาร์ใบใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 60 เซนติเมตร
ดังนั้นไดโนเสาร์เป็นสัตว์ที่ “ตัวใหญ่ ไข่เล็ก” นั่นเอง
เห็นไข่ไดโนเสาร์เหล่านี้ไหมครับ? สังเกตไหมว่า รูปร่างมันต่างกัน มีทั้งทรงกลม และทรงรี
รูปทรงของไข่เป็นสิ่งที่ใช้แยกประเภทของไดโนเสาร์ได้เลยนะครับ โดย
- ทรงกลม เป็นไข่ไดโนเสาร์กินพืช
- ทรงรี เป็นไข่ไดโนเสาร์กินเนื้อ
และอีกหนึ่งตัวสำคัญที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosaurus sirindhornae)” ไดโนเสาร์ที่ขุดพบในประเทศไทย ที่ตั้งชื่อตามสถานที่พบ (ภูเวียง จ.ขอนแก่น) และและพระนามของสมเด็จพระเทพฯ (สิรินธร) เพื่อถวายพระเกียรติที่ทรงสนพระทัยและให้การสนับสนุนการขุดค้นทางโบราณชีววิทยาในประเทศไทยนั่นเองครับ (โครงกระดูกเป็นของจำลองนะครับ)
และนี่คืออีกหนึ่งตัวเด็ดครับพวก “เทอร์โรซอร์ จ้าวเวหา” สัตว์มีกระดูกสันหลังกลุ่มแรกที่พยายามครอบครองท้องฟ้า!! ขนาดใหญ่ยักษ์เชียวล่ะ
เจ้าสัตว์เลื้อยคลานบินได้ขนาดยักษ์นี้มีบรรพบุรุษเป็นสัตว์เลื้อยคลานรูปร่างบอบบาง อาศัยอยู่บนต้นไม้ แต่พัฒนาปีกขึ้นเพื่อร่อนจับแมลง โดยปีกมีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อเยื่อคล้ายปีกค้างคาวยึดติดอยู่กับนิ้วมือนิ้วสุดท้าย (เปรียบเหมือนนิ้วก้อย) ที่แข็งแรงเป็นพิเศษ
หนึ่งในเทอโรซอร์ที่โด่งดังก็คือเจ้า “เทอราโนดอน (Pteranodon)” เจ้าแห่งท้องฟ้าในเรื่องจูราสสิค ปาร์ค นั่นเอง
จากบนบก สู่ท้องฟ้า เรามาดูที่ท้องทะเลกันบ้างครับ
สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ในท้องทะเลที่เป็นที่รู้จักกันดี และมีฟอสซิลมากมายในปัจจุบันก็คือ “แอมโมไนต์ (Ammonites)”
ลักษณะที่เป็นวงก้นหอยคล้ายเปลือกหอย ทำให้หลายคนเข้าใจว่ามันเป็นหอย และเรียกว่าหอยแอมโมไนต์
แต่แท้จริงแล้ว พวกมันมีความใกล้เคียงกับ “หมึก” ซะมากกว่า (รูปขวาคือแอมโมไนต์ สังเกตว่ามีหนวดอย่างหมึก)
ส่วนหอยดึกดำบรรพ์จริงๆ ต้องนี่ครับ “หอยหวงช้าง” หรือนอติลุส (Nautilus) ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้มาแล้วกว่า 350 ล้านปี (ยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน) !
นอกจากนี้ท้องทะเลในยุคนั้นยังมีสัตว์เลื้อยคลานทะเลอย่างพวกโมซาซอร์ เช่น “ฮาลิซอรัส (Halisaurus)” หรือ “กิ้งก่ามหาสมุทร (Ocean lizard)” ที่เราได้เห็นจากเรื่อง จูราสสิค เวิลด์ โดยเฉพาะฉากเด็ดที่มางาบ อินโดมินัส-เร็กซ์ (Indominus Rex) นั่นเอง
ในรูปนี้เป็นกระโหลกของฮาลิซอรัส
ส่วนตัวนี้ คือฟอสซิลของ “เพลซิโอซอร์” อสุรกายแห่งท้องทะเล ที่สามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีฟันแหลมคมแข็งแรงมากพอที่จะฆ่าสัตว์น้ำต่างๆได้ ตัวนี้เองที่เป็นที่มาของสัตว์ประหลาดในตำนานปัจจุบันอย่าง เนสซี แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์ในสก๊อตแลนด์ครับ
สิ้นสุดยุคไดโนเสาร์
แม้ว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ที่โลกเราเคยมีสิ่งมีชีวิตยักษ์เหล่านี้โลดแล่นทั้งบนแผ่นดิน ท้องฟ้า และท้องทะเล แต่ในที่สุดยุคสมัยของไดโนเสาร์ก็ถึงคราวสิ้นสุดลง….
66 ล้านปีก่อน อุกกาบาตจากนอกโลก ที่มีการประมาณกันว่ามีแรงเท่าระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ และฮิโรชิม่า 1 หมื่นล้านลูก !! พุ่งเข้าชนโลกที่ทวีปอเมริกา
ผลคือ แรงระเบิดมหาศาลทำให้สิ่งมีชีวิตราวร้อยละ 70 สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วในเหตุการณ์นั้น…
แล้วไดโนเสาร์ที่ทวีปอื่นสูญพันธุ์ได้อย่างไร?
การชนของอุกกาบาตส่งฝุ่นละอองปกคลุมชั้นบรรยากาศ และบดบังแสงอาทิตย์จนส่องมาไม่ถึงพื้นโลก ทำให้พืชขาดแสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง ไดโนเสาร์กินพืชจึงขาดอาหาร และล้มตายลง
เมื่อไดโนเสาร์กินพืชล้มตายลง ไดโนเสาร์กินเนื้อก็ขาดอาหาร และล้มตายต่อเนื่องไปเป็นลูกโซ่
เป็นอันสิ้นสุดยุคไดโนเสาร์ สัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ที่เคยยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ครับ
รูปตัวอย่างอุกกาบาต
หลังยุคไดโนเสาร์ ยุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แม้จะหมดยุคไดโนเสาร์ไปแล้ว แต่ความสนุก และความน่าทึ่ง ยังไม่จบแค่นี้แน่นอนครับ เรามาต่อกันเลย
หลังจากเหตุการณ์อุกกาบาตชนโลก สิ่งมีชีวิตบางอย่างก็รอดมาได้ เช่น และกิ้งก่า จระเข้ยักษ์ เต่าตัวยาว 3 เมตร และจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารก็คือ “งูยักษ์”
โครงกระดูกของงูยักษ์ไจแอนโทพิส (Giantophis) ยาวถึง 10 เมตร!! 😱
งูยักษ์ชนิดนี้เป็นนักซุ่มโจมตี สังหารเหยื่อด้วยการบีบรัดแบบเดียวกับงูเหลือมในยุคปัจจุบัน ซึ่งเหยื่อของมันก็คือ จระเข้ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิด
งูยักษ์ไจแอนโทพิสเคยเป็นงูที่ยาวที่สุดในโลกครับ แต่หลังจากมีการขุดค้นพบงูยักษ์ “ไททันโนบัว (Titanoboa)” ก็ทำให้มันตกไปเป็นอันดับสอง
จากที่เคยเกริ่นไว้ ว่าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นในทะเล แล้วค่อยวิวัฒนาการร่างกายมาอยู่บนบก แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เลือกกลับลงสู่ทะเลเช่นกัน สิ่งมีชีวิตนั้นเรารู้จักกันดีด้วยครับ นั่นก็คือ “วาฬ” และ “โลมา” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแห่งท้องทะเลนั่นเอง 😲
ในช่วงที่การช่วงชิงความเป็นใหญ่เหนือแผ่นดินรุนแรงขึ้น บรรพบุรุษของวาฬและโลมาซึ่งเป็นสัตว์บกกินเนื้อ ก็เริ่มเข้าไปครองแหล่งอาหารในทะเล โดยในช่วงแรกเป็นวาฬขาสั้น มีพังผืดตามข้อนิ้ว และวิวัฒน์จนกลายเป็นครีบในที่สุด
ในรูปเป็นโครงกระดูกของ “โดรูดอน” วาฬโบราณนักล่าตัวฉาจแห่งท้องทะเล สังเกตที่กระดูกขามีลักษณะเป็นนิ้วอยู่ เป็นสิ่งยืนยันว่ามันวิวัฒนาการมาจากสัตว์บกนั่นเองครับ
กำเนิดมนุษย์
ย้อนเวลากันไปซะไกลเลย ตอนนี้ยิ่งเข้าใกล้สู่ยุคปัจจุบันเข้าไปทุกทีแล้วนะครับ เพราะเรากำลังจะได้เริ่มเห็น “มนุษย์” กันแล้ว
หลังจากมีลิงมีหาง และลิงไม่มีหางมาแล้ว ก็มาถึงคราวของการกำเนิด “มนุษย์” บรรพบุรุษของพวกเรานั่นเองครับ
และนี่ก็คือ “ลูซี่ (Lucy)” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งที่มีวิวัฒนาการจากลิงชิ้นสูง หรือลิงไม่มีหาง (Ape) มาเป็นมนุษย์ ซึ่งเดิน 2 ขา เคยมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 5 ล้านปีก่อน
ดังนั้น “ลูซี่” จึงมีฐานะเป็นตัวแทนบรรพบุรุษและวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยมีจุดเริ่มต้นบนทวีปแอฟริกาครับ
สงสัยกันไหมครับ ว่าทำไมถึงชื่อ “ลูซี่” ?
คำตอบก็คือ มีที่มาจากเพลง “Lucy in the sky with diamonds” ของวง The Beatles ซึ่งคณะผู้ค้นพบฟอสซิลเปิดฟังเมื่อคราวจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการขุดค้นกันอยู่นั่นเองครับ 😁
วิวัฒนาการของมนุษย์ สามารถศึกษาได้จากต้นไม้นี้ครับ แต่เห็นว่ามีการอัพเดตข้อมูลใหม่ทุกปี เพราะฉะนั้นผมจะขอข้ามตรงนี้ไปเลยนะครับ
โดยโฮโม เซเปียนส์ บรรพบุรุษสายตรงของเรา เดินทางออกจากแอฟริกาเมื่อ 125000 ปีที่แล้ว และพัฒนาเป็นชนิดย่อยต่างๆ โดย โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบันนั้น เพิ่งปรากฏตัวในยุโรปเมื่อ 43000 ปีที่แล้วนี่เอง
เอาล่ะ มีทีเด็ดอีกที่ตู้นี้! ตู้นี้เป็นที่เก็บรวบรวมโครงกระดูก และกระโหลกของมนุษย์โบราณ และต่างๆ
จะสังเกตได้ว่าแม้กระโหลกจะมีขนาดต่างกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากจนเกินไป ยกเว้นอยู่กระโหลกหนึ่ง สังเกตเห็นไหมครับ?
กระโหลกชิ้นล่างสุดที่มีใหญ่กว่าชิ้นอื่นๆ อย่างชัดเจนนี้ เป็นกระโหลกของ “Giant ape” หรือ Gigantopithecus blacki ขุดค้นพบในประเทศจีน มีการประมาณว่า เมื่อยืนตัวตรงมีส่วนสูงได้ถึง 3.7 เมตร !!! และน้ำหนักมากกว่า 500 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ากอริลล่าถึง 3 เท่า!
ด้วยขนาดมหึมานี้ ทำให้ Giant ape อาจเป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับ “มนุษย์หิมะ” หรือ “เยติ” หรือ “บิ๊กฟูต” หรือ “ไอ้ตีนโต” นั่นเองครับ
*บางท่านอาจสังเกตว่ามีฟอสซิลจำนวนไม่น้อยที่จัดแสดง ถูกค้นพบในประเทศจีน ใช่แล้วครับฟอสซิลจำนวนมากถูกค้นพบในประเทศจีน แต่มีบางส่วนที่ไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้เพราะมีความเชื่อในสมัยก่อนว่า ฟอสซิลต่างๆคือกระดูกมังกร! ซึ่งมีสรรพคุณทางยาครับ*
ยุคน้ำแข็ง
และแล้วการย้อนเวลาท่องเที่ยวของเรา ก็เข้าสู่โลกเมื่อ 20000 ปีก่อน “ยุคน้ำแข็ง” นั่นเองครับ ที่จุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่อลังการมากๆ เพราะนี่ก็คือโครงกระดูก “แมมมอธขนยาว (Woolly Mammoth)” ตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจริง!!!
เหล่าแมมมอธนี้จากไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เหล่านี้เป็นช้างขนาดใหญ่ที่มีขนยาวปกคลุมร่างกายเพื่อรับมือกับความหนาวเย็นของยุคน้ำแข็งนั่นเอง
เนื่องจากมีขนาดใหญ่ จึงไม่ค่อยมีศัตรูตามธรรมชาติ แต่ศัตรูสำคัญของแมมมอธก็คือ “มนุษย์” ที่คอยล่าเอาเนื้อ ขน และกระดูกของพวกมัน
แต่จากหลักฐานในปัจจุบันพบว่า สาเหตุที่แมมมอธสูญพันธุ์ไป น่าจะเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่โลกเริ่มอุ่นขึ้น ในขณะที่แมมมอธมีร่างกายที่ใหญ่และขนยาวปกคลุมลำตัว จึงไม่ทนต่อสภาพอากาศครับ
ส่วนซากลูกแมมมอธที่ชื่อ “ลูบา” ตัวนี้ มีสภาพเป็นมัมมี่ ที่สมบูรณ์มาก (ที่จัดแสดงเป็นร่างจำลองนะครับ)
แมมมอธนั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้เคียงกับช้างเอเชีย จึงมีความพยายามที่จะโคลนนิ่งตัวอ่อนจากซากแมมมอธ แล้วให้ช้างเอเชียอุ้มท้อง แต่คำถามสำคัญก็คือ ในเมื่อแมมมอธสูญพันธุ์เองตามธรรมชาติ ไม่ใช่น้ำมือมนษย์ แล้วเหตุใดเราต้องทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกเล่า? แล้วหากเกิดมาแล้ว จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตนั้น?
นอกจากแมมมอธแล้ว ที่นี่ยังมี “แรดขนยาว (Wooly rhino)” อีกด้วย
โครงกระดูกแรดขนยาว สภาพสมบูรณ์อีกเช่นเคย มีอะไรให้ว้าวตลอดจริงๆเลย 😲
เห็นหน้าตาดุร้าย และเขายาวๆแบบนี้ วัตถุประสงค์หลักไม่ได้จะไปสู้กับใครนะ แต่เอาไว้คุ้ยหิมะที่ทับถมเพื่อหาอาหารต่างหาก
อย่าได้มองน้องผิดไป 😆
ส่วนกวางเขายักษ์ตรงนี้มีชื่อว่า “กวางเอลค์ยักษ์ (Megaloceros gianteus)”
สมัยปัจจุบัน
หลังสิ้นสุดยุคน้ำแข็งระลอกสุดท้าย โลกเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น ป่าเขตร้อนขยายกว้าง เผ่าพันธุ์มนุษย์แพร่เข้าถึงส่วนต่างๆของโลก มีการทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ พัฒนาภาษาเขียน ปรัชญา ศาสนา อุตสาหกรรม วิทยาการ งานศิลป์
สิ่งเหล่านี้ ที่เรียกว่า “อารยธรรมของมนุษย์” นั้น เกิดขึ้นในช่วง 12000 ปีที่ผ่านมาเท่านั้นครับ
ทว่าอารยธรรมของเราเพียงแค่ 12000 ปีนั้น กลับสร้างผลกระทบต่อโลกที่เกิดมาแล้ว 4600 ล้านปีอย่างมหาศาล!
สัตว์หลายสายพันธุ์ต่างต้องสูญพันธุ์ไปด้วยน้ำมือมนุษย์
เช่น ในบรรดาหัว และเขาสัตว์เหล่านี้….สังเกตเขาคู่กลางที่แตกกิ่งแผ่นกว้างออกมา มีใครรู้จักบ้างไหมครับ ว่าเป็นของสัตว์ชนิดไหน?
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก… เฉลยก็คือ “สมัน” หรือที่เมื่อก่อนเรียกกันว่า “เนื้อสมัน” นั่นแหละจ้า
ตัวผมเองก็เพิ่งเคยเห็นเขาของสมันของจริงเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่แหละครับ เพราะเจ้ากวางเขางามที่พบเฉพาะในประเทศไทยนี้นี้สูญพันธุ์จากธรรมชาติไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 😢
ส่วนสมันตัวสุดท้ายในโลกถูกเลี้ยงอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร แต่ก็ต้องมาตายไปเพราะถูกชายขี้เมาคนนหนึ่งตีตายเมื่อปี 2481 😭
ส่วนเขาสัตว์อันที่ยาว เรียว ตรงกลางรูปก็คือเขาของ “ยูนิคอร์น (unicorn)” หรือม้ามีเขาในเทพนิยายนั่นเอง !!
ห๊ะ ยูนิคอร์นมีจริงด้วยหรอ !? !? !?
เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ เมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งราชอาณาจักรครองราชย์นั้น มีพ่อค้านำเขาสัตว์ยาวเรียวมาเสนอขายให้ โดยอ้างว่าเป็นเขาของยูนิคอร์น!
แต่แท้จริงแล้วนั้น เขาสัตว์ดังกล่าว เป็นเขา (ฟัน/งา) ของ “นาร์วาล (narwhal)” วาฬที่อาศัยอยู่บริเวณอาร์กติกต่างหากครับ
ส่วนอันนี้เป็นโครงกระดูกนกช้าง (elephant bird) สูงถึง 3 เมตร!
นกช้างเป็นนกบินไม่ได้ ตัวเต็มวัยน้ำหนักถึง 500 กิโลกรัม เคยเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะมาดากัสการ์
ส่วนไข่ของมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 34 เซนติเมตรแต่มนุษย์ก็ขโมยไข่ของนกช้างเป็นอาหาร จนมันสูญพันธุ์ไปเมื่อ 1900 ปีที่แล้ว 😢
และนกอีกหนึ่งชนิด ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และมีชื่อเสียงมาก ก็คือ “นกโดโด้ (Dodo)” นกบินไม่ได้ที่เคยอาศัยอยู่แถบหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย ถูกค้นพบโดยชาวโปรตุเกส และสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วโดยฝีมือมนุษย์
นกโดโด้นั้นมักได้เป็นสัญลักษณ์ของการสูญพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ เพราะนกโดโด้เป็นสัตว์ชนิดแรกของโลกที่สูญพันธุ์นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีการบันทึกการหายไปของสัตว์ครับ 😭
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับการท่องเที่ยวย้อนเวลาประดุจ “Time traveler” ของเราในครั้งนี้ ที่เราได้ย้อนไปตั้งแต่การกำเนิดสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ของโลกในทะเล แล้วเริ่มขึ้นมาอยู่บนบก แล้วเข้าสู่ยุคสมัยที่ไดโนเสาร์ครองโลก ก่อนที่จะสิ้นสุดยุคไดโนเสาร์ด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติ เข้าสู่ยุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การกำเนิดของมนุษย์ ยุคน้ำแข็ง ยุคสมัยปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาดังกล่าวนี้ โลกของเรามีอายุมาแล้วกว่า 4600 ล้านปี ขณะที่มนุษย์เราเพิ่งเริ่มต้นเมื่อหลักแสนปีเท่านั้น ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาเพียงเศษเสี้ยวของอายุของโลกที่ยาวนาน แต่มนุษย์เรากลับสร้างความเสียหายต่อโลกไปแล้วอย่างมากมาย สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องสูญพันธุ์ลงด้วยน้ำมือมนุษย์เรา
แม้สิ่งที่เกิดไปแล้วจะแก้ไขไม่ได้ แต่เรายังมีโอกาสที่จะอนุรักษ์ รักษาสิ่งมีชีวิตร่วมสมัยกับเราให้อยู่สืบไปพร้อมกับโลกของเรานะครับ 🙂
—————————————
และสำหรับใครที่สนใจ อยากได้มารับประสบการณ์สุด Exclusive แบบนี้ ก็สามารถติดต่อได้ที่ FB page: Time traveler เลยครับ มีแพ็คเกจให้เลือก 2 แบบ
- แบบ A 1 day รวมอาหารกลางวัน: 3500 บาท
- แบบ B 2 days & 2 nights รวมอาหารทุกมื้อ: 12900 บาท
***เพียงแจ้งว่ามาจากเพจ Travel together เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว ก็จะได้ส่วนลดพิเศษด้วยนะ (แบบ A เหลือ 3200 บาท, แบบ B เหลือ 9900 บาท)
และหากใครกำลังลังเล หรือคิดว่าราคาแรงไปล่ะก็ ขอให้ดูที่เหลือก่อนครับ เพราะมันไม่ได้มีแค่นี้!!
Museum 2: World of elephant museum
อ้าววว??? นึกว่าหมดแล้วซะอีก
ยังครับ ความ Exclusive ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเราจะได้ชมทั้งหมดถึง 3 พิพิธภัณฑ์!
สำหรับพิพิธภัณฑ์ที่ 2 นี้ ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ช้างแห่งเดียว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!
เข้ามาก็ประเดิมด้วยเจ้าตัวนี้ เห็นหน้าตาประหลาดๆแบบนี้ นี่คือช้างนะครับ 🙃
ในพิพิธภัณฑ์นี้ เราจะได้รับชมช้างโบราณในยุคต่างๆ หน้าตาแปลกประหลาดมากมาย จนเราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ ว่าโลกเราเคยมีช้างหน้าตาแบบนี้ด้วยและ และแม้กระทั่งอาจจะคิดไปว่านี้หรือคือช้าง? 😲
ยังจำเมื่อตอนที่เราย้อนเวลาไปดูไดโนเสาร์ได้ไหมครับ? ที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกครั้งใหญ่ ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ลง
แต่นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวจิ๋ว ที่ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆตามโพรงใต้ดินอีกต่อไป เพราะบรรดานักล่าใหญ่ยักษ์สูญพันธุ์ไปแล้ว
พวกมันจึงมีโอกาสได้แตกเผ่าพันธุ์หลายสาขาเข้าเติมเต็มช่องว่างทางนิเวศน์ที่ไดโนเสาร์ทิ้งเอาไว้
รูปนี้ แสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของช้างตัวจิ๋วเท่ากระต่ายเท่านั้น !
โดยบรรพบุรุษช้าง เริ่มปรากฏตัวในแอฟริกาในทะเลทรายสะฮารา (Sahara desert)
ใช่แล้วครับ ฟังไม่ผิด ช้างเริ่มต้นในทะเลทราย เพียงแต่ว่าในสมัยนั้นทะเลทรายสะฮาราเป็นป่าดิบชื้นสลับไปด้วยห้วย หนอง คลอง บึง!
นอกจากตัวเล็กเท่ากระต่ายแล้ว หน้าตายังดูประหลาด ช่วงตัวยาว ขาสั้น้อม จะว่าคล้ายฮิปโปโปเตมัสก็ไม่ใช่ จะว่าคล้ายสมเสร็จก็ไม่เชิงเนาะ
ฟอสซิลช้างโบราณ
อีกเรื่องสำคัญก็คือ งาช้างนั้นไม่ใช่เขี้ยว แต่เป็นฟันหน้าที่ยื่นยาวออกมา จากกระโหลกนี้ จะเห็นชัดเลยว่าเป็นฟันหน้า 😆
เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจยังไม่หมดเท่านี้นะ
รู้จัก “พะยูน (dugong)” กันใช่ไหมครับ? สัตว์น้ำชนิดแรกที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าสงวนของไทย ที่บางคนเรียกว่าหมูน้ำนั่นแหละ พวกมันเป็นเครือญาติของช้างเช่นกันครับ!
พะยูน (ตัวสีฟ้า) เป็นเครือญาติของช้าง เพราะฉะนั้น ถ้าเรียกว่าหมูน้ำก็อาจไม่ถูกเนาะ ต้องเป็นช้างน้ำไหมอ่ะ ฮ่าๆ
อ้อ! ใครอยากเห็นเจ้าวัวทะเลตัวเป็นๆ สามารถไปชมได้ที่ซาฟารีเวิลด์นะครับ
สิ่งที่บ่งบอกว่า สัตว์หน้าตาแปลกประหลาด และขนาดแตกต่างกันลิบลับในห้องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครือญาติกับช้าง ก็คือ จำนวนกระดูกสันหลัง รูปร่างกระดูกหน้าแข้ง และจมูกที่พัฒนาโดดเด่นนั่นเองครับ
ผ่าง! และนี่ก็คือ อีกหนึ่งช้างหน้าตาประหลาด “ช้างงาจอบ” ไดโนเธอเรียม งาโค้งลงมาอยู่ด้านล่างซะงั้น
ที่งาโค้งมาอยู่ด้านล่างเหมือนจอบ แบบนี้นั้น เพราะช้างโบราณต้องปรับตัวเพื่อกินพืชประเภทต่างๆ เช่น ช้างงาจอบ ใช้งาที่โค้งลงล่างเพื่อฉีกเปลือกไม้และขุดรากไม้กินเป็นอาหาร
หรือ “ช้างงาพลั่ว” ใช้งาคู่ล่างที่แบนและกว้างเพื่อช้อนตักพืชน้ำหรือรูดใบไม้จากกิ่ง
ส่วนช้างในกลุ่ม “ช้างสี่งา” ใช้งาคู่บนและล่างเพื่อคีบอาหาร (งาคู่บนและล่างยาวพอกันนะครับ ส่วนตัวในรูปเป็นตัวแทนสำคัญในการวิวัฒนาการของช้าง งาคู่ล่างสั้นลง ส่วนขนาดตัวและสัดส่วนก็ใกล้เคียงกับช้างปัจจุบันแล้ว)
ช้างแคระและช้างยักษ์
ช้างในแต่ละพื้นที่ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพถิ่นที่อยู่ ปริมาณอาหาร และระดับน้ำทะเลที่ขึ้นลงด้วย (เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทำให้บางพื้นที่ที่เคยเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ถูกตัดขาดออกไปกลายเป็นเกาะโดดเดี่ยว)
ช้างที่ติดอยู่บนเกาะเล็กๆจึงต้องลดขนาดร่างกายเพื่อให้อยู่รอดด้วยปริมาณอาหารที่จำกัด ก่อให้เกิดช้างแคระชนิดต่างๆ
ในรูปเป็นช้างแคระมอลตา ที่น่าจะอพยพเข้าสู่เกาะมอลตาในยุคน้ำแข็งที่ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าปัจจุบัน เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจึงติดเกาะ ต้องอาศัยอยู่บนเกาะที่มีอาหารจำกัดนั่นเอง
จากฟอสซิลพบว่า ช้างแคระมอลตา สูงเพียง 80 เซนติเมตรเท่านั้น
ลองเทียบขนาดกับแมมมอธใหญ่ยักษ์ที่อยู่ด้านหลังนะครับ กลายเป็นช้างแคระตัวเล็กน่ารักเลยทีเดียว 😍
ส่วนเจ้าช้างยักษ์อย่าง “แมมมอธ (mammoth)” อย่าง “แมมมอธทุ่งหญ้าสเตปป์” นี้ เป็นช้างตัวโตที่สุดในกลุ่มแมมมอธ ด้วยความสูงถึง 4.5 เมตร!! และอาจหนักถึง 10 ตัน
กระโหลก ขน และซาก (จำลอง) ของแมมมอธ
ผู้เหลือรอดของเผ่าพันธุ์ที่เคยยิ่งใหญ่
นับเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เผ่าพันธุ์ช้างที่มีประวัติอันยาวนาน มีวิวัฒนาการจนเกิดช้างที่มีรูปลักษณ์และหน้าขนาดแตกต่างกันออกไปมากมายนั้น ปัจจุบันเหลืออยู่รอดในโลกเพียง 3 ชนิด
อ่านไม่ผิดครับ 3 ชนิดจริงๆ ไม่ใช่ 2 ชนิด (ช้างเอเชีย และช้างแอฟริกา) อย่างที่เราเข้าใจกัน เดี๋ยวไปดูกันครับว่า 3 ชนิดมีอะไรบ้าง
- ช้างเอเชีย: เป็นสัตว์บกขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย แบ่งเป็นชนิดย่อยอีก 4 ชนิด ได้แก่ ช้างอินเดีย ช้างศรีลังกา ช้างสุมตรา และช้างบอร์เนียว
- ช้างทุ่งแอฟริกา (ช้างสะวันนา) สัตว์บกขนาดใหญ่ที่สุด และหนักที่สุดในโลก! ด้วยส่วนสูงเฉลี่ยน 3.2 เมตร หนักถึง 10.2 ตัน! และกินอาหารมากถึงวันละ 225 กิโลกรัม งางอกปีละ 20 เซนติเมตร!
- ช้างดงแอฟริกา คือช้างตัวเล็กในรูปนะครับ เป็นช้างอีกหนึ่งชนิดที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน ช้างดงและช้างสะวันนาเคยถูกคิดว่าเป็นชนิดเดียวกัน แต่จากหลักฐานทางพันธุกรรมพบว่าทั้งสองสายพันธุ์วิวัฒนาการแยกออกจากกันเมื่อ 5 ล้านปีก่อน ช้างดงมีขนาดเล็กกว่า (ประมาณ 2.5 เมตร) ใบหูรูปไข่ และมีงาที่ตรงและชี้ลงด้านล่างมากกว่าครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับพิพิธภัณฑ์ที่ 2 World of elephant museum นี้? สำหรับตัวผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าช้างจะมีเรื่องแปลกประหลาด และมหัศจรรย์แบบนี้ ตั้งแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวจิ๋วเพื่อหลบรอดจากพวกไดโนเสาร์ ก่อนที่จะวิวัฒนาการตามแหล่งที่อยู่จนมีรูปลักษณ์ และขนาดที่ต่างกันอย่างชัดเจน แม้หลายสายพันธุ์ย่อยของช้างจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ช้างก็ยังคงเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันของเรา
อ้อ! เกือบลืมอีก 1 เรื่อง ในฐานะที่ผมเป็นหมอฟัน ยังไงก็ต้องพูดเรื่องนี้สักหน่อย นั่นก็คือ เรื่อง “ฟันของช้าง” นั่นเองครับ
รูปนี้เป็นกระดูกกรามของช้าง และมีฟันเป็นซี่ๆเรียงอยู่มากมาย
ความพิเศษมันอยู่ตรงที่ ช้างเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่มีการเจริญ หรือการเปลี่ยนชุดฟันจากฟันกรามที่อยู่ด้านหลังไปฟันหน้าครับ 😲 ส่วนมนุษย์เรามีการเจริญของฟันแท้ (เพื่อขึ้นแทนฟันน้ำนม) ที่ฟันหน้าก่อน 😁 😁
นอกจากนี้ฟันของช้างมักถูกเข้าใจผิดจากการเก็บของป่า ว่าเป็น “เกล็ดพญานาค” หรือ “หงอนพญานาค” อีกด้วย
แล้วก็ขอส่งท้ายพิพิธภัณฑ์ World of elephant museum ด้วยประโยคของ เดวิด แทนเบอเรอห์ ที่ว่า “เราจะมีความสุขไหม ถ้าลูกหลานของเราจะได้เห็นช้าง แต่เพียงภาพในหนังสือ”
ปล. สำหรับคนที่อายุ 30 ปีขึ้นอย่างผม ต้องจำข่าวเรื่อง “ช้างน้ำ” ที่มีคนอ้างว่าพบซากช้างน้ำที่เป็นสัตว์ป่าหิมพานต์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนได้แน่ๆ ที่พิพิธภัณฑ์นี้มีจัดแสดงอยู่ด้วยนะครับ ไปดูกันได้เลย 😉
Museum 3: Petrified wood museum
พิพิธภัณฑ์สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด (เพราะในแพ็คเกจจะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ต่ออีกด้วยนะ เอาให้คุ้มกันสุดๆไปเลย 😲)
ฟังชื่อแล้วอาจรู้สึกว่า น่าเบื่อ แต่ช้าก่อนครับ สิ่งที่เราจะได้เห็นต่อไปนี้ต้องเรียกว่า “ศิลปะจากธรรมชาติอย่างแท้จริง”
ไม้กลายเป็นหิน (petrified wood) เกิดจากจากไม้ที่ถูกดินทับถมเป็นเวลานานนับ “ล้านปี” ! จนไม้ดูดซึมแร่ธาตุในดิน และเปลี่ยนจากเนื้อไม้กลายเป็นหิน
ลองสังเกตดูครับ “หิน” ที่เราเห็นอยู่นั้น มีลายวงปีแบบต้นไม้!
ไม้กลายเป็นหินจากสถานที่ต่างกันก็จะมีสีสันแตกต่างกัน ตามแร่ธาตุในดินของสถานที่นั้นๆครับ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้รวบรวมไม้กลายเป็นหินจากทั่วโลกไว้มากที่สุดในเอเชียอาคเนย์ รวมถึงไม้กลายเป็นหินแห่งแอริโซนา (Arizona) ชื่อดัง จากสหรัฐอเมริกา
นอกตัวไม้ (ที่กลายเป็นหินไปแล้ว) อยากให้ลองสังเกต “ฐาน” ที่ใช้รองรับด้วยนะครับ เป็นงานแกะสลักที่มีความประณีต วิจิตรมากๆเลย
ลองไปพิสูจน์กันนะครับ แล้วจะรู้ว่า “ความมหัศจรรย์ และศิลปะอันล้ำค่าที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ” งดงามแค่ไหน
และแล้ว การเดินทางย้อนเวลาของเรา ก็คงจบลงเพียงเท่านี้ สำหรับผู้สนใจ อยากเข้าชม เพื่อสัมผัสประสบการณ์สุด Exclusive จากพิพิธภัณฑ์ระดับโลกทั้ง 3 แห่งนี้ ก็สามารถติดต่อได้ที่ FB page: Time traveler
พิพิธภัณฑ์อยู่ในเขตสนามบินสุโขทัย อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย สาม
***แต่ไม่สามารถ walk in ได้นะครับ ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น***
สำหรับรายละเอียดแพ็คเกจมี 2 ประเภท
A. แพ็คเกจทัวร์ 1 วัน
- ลงมือทำเกษตรอินทรีย์ สัมผัสวิถีชีวิตชาวสวนอย่างแท้จริง
- ไฮไลต์สุดพิเศษของทัวร์ คือ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ แหล่งรวบรวมฟอสซิลและโครงกระดูกโบราณของจริงที่สมบูรณ์ที่สุด ครบทุกยุคสมัย และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
- พิพิธภัณฑ์ช้างแห่งเดียวในโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
- พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ที่มีไม้กลายเป็นหินสภาพสมบูรณ์หลากหลายชิ้น และใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์เช่นกัน
- นั่งรถราง ชมสัตว์นานาชนิดที่ “สวนสัตว์สนามบินสุโขทัย” **มีลูกสิงโตขาวเกิดใหม่ด้วยน่า น่ารักมากบอกเลย**
- รวมอาหารกลางวันจากวัตถุดิบปลอดสารของโครงการเกษตรอินทรีย์ในบรรยากาศบ้านทุ่ง
- ราคาแพ็คเกจแบบนี้ 3500 บาท แต่เมื่อแจ้งว่าได้รับการแนะนำจากเพจ “Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว” ก็รับส่วนลดไปเลย 300 บาท เหลือเพียง 3200 บาทเท่านั้น
B. แพ็คเกจทัวร์ 2 วัน 2 คืน
- เข้าพักที่รีสอร์ท Sukhothai heritage ในเขตสนามบิน 2 คืน
- เที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยพร้อมไกด์ผู้บรรยายทรงคุณวุฒิ
- เยี่ยมชมการทำสังคโลก และการลงยาเครื่องเงินที่ร้านเครื่องเงินร้านแรกของสุโขทัย
- ลิ้มรสอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่นทุกมื้อ
- ลงมือทำเกษตรอินทรีย์ สัมผัสวิถีชีวิตชาวสวนอย่างแท้จริง
- ไฮไลต์สุดพิเศษของทัวร์ คือ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ แหล่งรวบรวมฟอสซิลและโครงกระดูกโบราณของจริงที่สมบูรณ์ที่สุด ครบทุกยุคสมัย และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
- พิพิธภัณฑ์ช้างแห่งเดียวในโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
- พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ที่มีไม้กลายเป็นหินสภาพสมบูรณ์หลากหลายชิ้น และใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์เช่นกัน
- นั่งรถราง ชมสัตว์นานาชนิดที่ “สวนสัตว์สนามบินสุโขทัย” **มีลูกสิงโตขาวเกิดใหม่ด้วยน่า น่ารักมากบอกเลย**
- ราคาแพ็คเกจแบบนี้ 12900 บาท แต่เมื่อแจ้งว่าได้รับการแนะนำจากเพจ “Travel together – เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว” ก็รับส่วนลดไปเลย 3000 บาท เหลือเพียง 9900 บาทเท่านั้น !
*ราคาทั้ง 2 แพ็คเกจรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว, รวมค่ามัคคุเทศก์และผู้ช่วยมัคคุเทศก์แล้ว, รวมค่าเข้าชมสถานที่ทั้งหมด และรวมค่าประกันอุบัติเหตุตามกรมธรรม์วงเงิน 1000000 บาท ค่ารักษาพยาบาล 500000 บาท
* สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และซื้อแพ็คเกจได้ที่ FB page: Time traveler
***โปรโมชั่นนี้ใช้ได้ 3 เดือนในปี 2564 ได้แก่เดือน เมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2564)
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้นะครับ ว่าราคาอาจแรงไปบ้าง แต่ถ้าได้ย้อนอ่านใหม่ตั้งแต่แรก จะรู้เลยว่า ราคานี้ “คุ้มครับ” ตัวผมยังอยากกลับไปอีกครั้งเลย 😍 😍 😍
สำหรับการเข้าพักที่รีสอร์ท Sukhothai hertitage และ มีอะไรให้ดูที่สวนสัตว์สนามบินสุโขทัย?” และเกษตรอินทรีย์ ผมขอแยกโพสต์ออกไปนะครับ
สามารถตามไปที่โพสต์นี้ได้เลย: สนามบินสุโขทัย มีอะไรให้ทำ?
อ้อ! อย่าลืมช่วยกด like แฟนเพจเฟซบุ๊คเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ